ฟังคือพลัง
การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) มีพลังมากกว่าที่คิด เปิดพื้นที่ความเป็นมนุษย์ มีพื้นที่สำหรับความเห็นอกเห็นใจ และเป็นพื้นที่แสดงศักยภาพทั้งในตัวของผู้พูดและผู้รับฟัง
.
- เมื่อหยุดให้คำแนะนำ หยุดซักถาม จะเกิดพื้นที่ปลอดภัย เปิดพื้นที่ให้ความสบายใจ อีกฝ่ายก็พร้อมจะเล่าออกมา
- คนเรามักจะรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรหรือควรทำอะไร เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ เมื่อมีผู้รับฟังจะทำให้เขาได้ยินเสียงของตัวเอง
- การเบรกตัวเองโดยไม่พูดแทรก ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดจนจบ เป็นการให้เกียรติ ให้ความสบายใจ
.
เดือนพฤศจิกายนเป็น เดือนการฟังแห่งชาติ (National Month of Listening) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (พ.ศ.2567) หลายคนได้ประสบการณ์และแรงบันดาลจากปีที่ผ่านมา ทำให้พยายามฝึกฟังมาโดยตลอด เกิดเป็นประสบการณ์ล้ำค่าน่าสนใจ ถ้าตอนนี้คุณยังลังเล ยังสงสัย ว่าจะเริ่มฟังได้อย่างไร คุณจะร่วมในเดือนการฟังแห่งชาติดีไหม เรื่องราวจากผู้คนเหล่านี้เป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้เลย
.

.
การฟังเป็นความสัมพันธ์ร่วม เอื้อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
การฟังเป็นการฝึกเปิดพื้นที่ว่างในหัวใจของผู้รับฟัง และเป็นการมอบพื้นที่ปลอดภัยให้เขาคนนั้น ได้เป็นตัวเขาอย่างแท้จริง
.
ผู้รับฟังหลายคนเล่าประสบการณ์ว่า บ่อยครั้งที่บรรยากาศเริ่มต้นด้วยความอึดอัด ผู้พูดรู้สึกเกร็ง ระวังตัว หรือทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อผู้ชายเป็นผู้พูด แต่เมื่อผู้รับฟังมีท่าทีสบายๆ ยอมรับความอึดอัด อนุญาตให้มีพื้นที่ของความเงียบได้ เขาก็จะเริ่มเผยความในใจออกมา บางครั้งอาจจะดูเหมือนอ่อนแอ แต่ที่แท้เป็นความกล้าหาญ ยอมเปราะบาง ประสบการณ์แบบนี้เป็นการเปิดพื้นที่ในความเป็นมนุษย์ และพื้นที่ของความเห็นอกเห็นใจ แล้วจากความอึดอัดในช่วงต้นก็กลายเป็นความเบาสบาย คลาย เป็นมิตรและเปี่ยมด้วยความขอบคุณ (จากทั้งสองฝ่าย)
.
มีกรณีหนึ่งที่ผู้พูดเป็นบุคลากรคุณภาพในแวดวงภาพยนตร์ต่างประเทศ เขาได้เล่าเรื่องราวส่วนตัวและปลดปล่อยความรู้สึกออกมาจนหมด ช่วงท้ายเขาสะท้อนว่า “เป็นการปลดปล่อยที่ดีกว่าที่ผมไปคุยกับนักจิตบำบัดซะอีก” เมื่อคุณภาพการฟังเปลี่ยนไป เมื่อผู้ฟังหยุดการให้คำแนะนำ หยุดซักถาม จึงทำให้ผู้พูดรู้สึกปลอดภัย สบายใจ พร้อมที่จะเล่าทุกอย่างออกมา
.
ทางออกที่ดีที่สุดมักจะอยู่ในตัวของผู้พูดเอง
สิ่งที่ผู้ฟังส่วนใหญ่สัมผัสได้ก็คือ ความรู้สึกที่ว่า “เขามีทางออกที่ดีอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว” ผู้ฟัง หลายคนสะท้อนว่า ผู้พูด (เจ้าของเรื่องหรือเจ้าของปัญหา) มักจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร ต้องทำอะไรหรือควรทำอะไร เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ เขาต้องการคนรับฟังเพื่อที่ตัวเขาจะได้ยินเสียงของตัวเอง
.

.
เมื่อตั้งใจฟังโดยไม่ซักถาม ไม่พูดแทรก ฟังจนจบแล้วสะท้อนสิ่งที่ได้ยินให้เจ้าของเรื่องเพื่อให้เขาได้ยินเสียงของตนเองอีกครั้ง สุดท้ายแล้ว เจ้าของเรื่องก็มักจะใคร่ครวญและพบทางออกของปัญหานั้นด้วยตัวเอง เขาแค่ต้องการใครสักคนยืนยันสิ่งที่เขาคิด
.
อาสารับฟังรายหนึ่งเล่าว่า เขาเป็นอาสารับฟังในเดือนการฟังแห่งชาติต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้รู้จักกับผู้พูดจนกลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนรับฟังมาเรื่อยๆ การฟังต่อเนื่องเป็นปีทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน คือเห็นได้ว่าอีกฝ่ายค่อยๆ มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น สื่อสารเก่งขึ้น มีวินัยมากขึ้น คล้ายกับว่า การฟังเป็นกระจกที่สะท้อนศักยภาพในตัวของผู้พูด พร้อมกับสะท้อนผลลัพธ์ให้เห็นอย่างน่าพอใจ
.
การฟังเป็นการช่วยเขาและเปลี่ยนเรา
การฟังไม่ได้ช่วยผู้พูดเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาศักยภาพในตัวของผู้ฟังด้วย ผู้(ฝึก)ฟังหลายคนยอมรับว่า ปกติเป็นคนชอบพูดแทรก บางคนติดการให้คำแนะนำ มักจะคิดว่าการพยายามพูดเพื่อทำให้อีกฝ่ายพูดออกมา ความเชื่อว่าถ้าอีกฝ่ายได้คำปรึกษาก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่เมื่อ ตั้งใจที่จะฟังเท่านั้น ทำให้ได้เห็นแบบแผน (pattern) ของตัวเอง และตระหนักได้ว่า การเบรกตัวเองโดยไม่พูดแทรก การปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดจนจบ เป็นการให้เกียรติคนพูดจริงๆ และการไม่พูดแต่ตั้งใจฟัง ให้ผลดีกว่า อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจกว่า เปิดใจได้มากกว่า
.

.
ผู้รับฟังคนหนึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล วันหนึ่งเขาเห็นว่าคนไข้เงียบ ไม่สามารถบรรยายปัญหาออกมาได้ จึงหยุดซักถาม แต่ยื่นมือไปสัมผัสที่ต้นแขนของคนไข้เบา ๆ เพียงเท่านั้น น้ำตาของอีกฝ่ายก็ไหลออกมาเหมือนทำนบพัง แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ คลี่คลาย
.
ผู้รับฟังอีกคนเล่าว่า ในอดีต เมื่อเธอต้องไปเยี่ยมญาติซึ่งป่วยอยู่ เธอมักจะคาดหวังให้ผู้ป่วย (ซึ่งเป็นญาติของเธอ) ทำในสิ่งที่เธอแนะนำ ตัวเธอเต็มไปด้วยการให้คำแนะนำ แต่ครั้งนี้เธอตัดสินใจที่จะอยู่กับคนตรงหน้า 100% ถือกล่องของขวัญที่เรียกว่า ‘การฟัง’ เข้าไปเยี่ยมญาติ มันได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ทั้งตัวเธอและผู้ป่วยได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ผู้ป่วยสบายใจ สามารถเล่าได้ทั้งความสุขและความทุกข์ให้เธอฟัง เธอรู้สึกว่าได้มิตรภาพกลับมาอีกครั้ง
.
การฟังอย่างลึกซึ้งจึงสามารถเปลี่ยนความแห้งแล้งในความสัมพันธ์ ให้กลายมาเป็นความชุ่มชื่น เบิกบาน ทั้งในบริบทของคนในครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน เปลี่ยนจากการคุยกันเพื่อแก้ปัญหาให้กลับมาเป็นการรับฟัง ความสัมพันธ์กลับดีขึ้น
.

.
ความรู้สึกที่ “ผู้ฟังที่ดี” ได้รับหลังจากการฟัง
ผลสำรวจการสอบถามความรู้สึกขณะที่เป็นผู้ฟังที่ดี เราพบว่ามี 4 ประเด็นหลักคือ:
- ผู้ฟังได้รับความสงบและเบาใจ (Emotional Relief & Peace)
ผู้ฟังมักจะได้ความรู้สึกเชิงบวกทำให้จิตใจตัวเองผ่อนคลาย แม้ว่าเรื่องราวที่รับฟังนั้นจะหนักหน่วงก็ตาม ความรู้สึกหลังจากการฟังมักจะเป็น ความสบายใจ เบาใจ อิ่มใจ มั่นใจ
- ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงกันในความเป็นมนุษย์
ผู้ฟังรู้สึกถึงการเชื่อมโยงกับผู้คนอย่างลึกซึ้ง สัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์ มีความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะมนุษย์ธรรมดา เข้าใจพฤติกรรมและความนึกคิด ลดการให้ค่าและตัดสิน และรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันมากขึ้น
- ผู้ฟังเกิดการตระหนักรู้และได้เรียนรู้
การฟังอย่างตั้งใจช่วยให้ผู้ฟังได้เรียนรู้ทั้งจากเรื่องราวในฝั่งของผู้พูด และได้ทบทวนตัวเองขณะที่ฟัง มีความเข้าใจชีวิตในบริบทที่หลากหลาย และมักจะรู้สึกดีที่ไม่ด่วนตัดสิน เกิดการทบทวนตัวเอง เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ได้เห็นว่าบางครั้งตนก็พลาด เผลอ ทำให้เข้าใจและให้อภัยได้ง่ายขึ้น
- ผู้ฟังรู้สึกทึ่งในพลังการฟัง
“เพียงแค่ฟังเฉยๆ ก็สามารถช่วยคนได้” ประสบการณ์นี้ทำให้นักรับฟังรู้สึกดีใจที่การฟังของตนเองช่วยให้อีกฝ่ายได้ระบายความทุกข์ออกมา และเบาสบายมากขึ้น การฟังเป็นประสบการณ์ที่ให้พลัง แม้ว่าบางครั้งเรื่องที่ฟังนั้นเป็นเรื่องยาก หนัก แต่สุดท้ายกลับเป็นความรู้สึกดีที่ได้เป็นผู้รับฟัง รู้สึกว่าตนเองได้รับความไว้วางใจ รู้สึกสงบ เบา อิ่มใจ และสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งกับเพื่อนมนุษย์
.
เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นเดือนการฟังแห่งชาติ ในเมื่อการฟังดีขนาดนี้ เดือนนี้ชวนพวกเราพูดให้น้อยลง และ “ฟัง” ให้มากขึ้น ปัญหาหลายๆ อย่างจะดีขึ้นได้ด้วยการฟังฝึกทักษะการฟังได้ที่ https://www.happinessisthailand.com/category/microlearning/deep-listening/
.
*ภาพประกอบในบทความนี้เป็นเพียงภาพเพื่อสื่อความหมาย มิได้เป็นภาพของบุคคลจริงในเนื้อหา






