เขียนไดอารีให้เห็นหัวใจ
ความขัดแย้งมักเริ่มจากการตัดสินในฝั่งของเรา “สิ่งที่เธอทำมันไม่ถูก” เราต้องชะลอการตัดสินในตัวเราก่อน การสื่อสารเพื่อความเข้าใจ เริ่มจากการเข้าใจตัวของเราเอง เราสื่อสารเพื่อบอกสิ่งที่เกิดกับเรา เขาจะเปลี่ยนหรือไม่อยู่นอกการควบคุมของเรา
.
- การเขียนไดอารีเป็นวิธีระบายความทุกข์ เป็นส่วนตัว ไม่มีการตัดสิน และทำให้เกิดความเข้าใจตัวเอง
- การเขียนช่วยให้เห็นแพทเทิร์นของตัวเอง เข้าใจที่มาที่ไป ช่วยให้ควบคุม-กำกับตัวเองได้
- การมีแผนที่จิตใจของตัวเองทำให้เดินต่อไปได้ เข้าใจความสัมพันธ์ของความสุข-ความทุกข์ ไม่ปฏิเสธ
- บางทีเราทุกข์เพราะต้องการเก็บแต้ม การทำโดยไม่ต้องเก็บแต้ม ทำให้เราไม่เหนื่อย
.

คุณพิมพ์สิรินุช บ่อทรัพย์ (ติ้ง) เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กรและการตลาด สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand – GCNT) เครือข่ายท้องถิ่นของโครงการสำคัญระดับโลกขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact) ซึ่งเป็นเครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้
.
การอยู่ในบทบาทของนักสื่อสารองค์กรของเครือข่ายระดับโลก เป็นงานที่อาศัยความสุุขุมและการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี เพราะต้องเผชิญความกดดันในรูปแบบต่างๆ ต้องประสานงานกับผู้คนและหน่วยงานที่มีความหลากหลายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนร่วมงานของคุณติ้งเคยพูดถึงว่า เธอเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ โดยเฉพาะความนิ่ง ความสามารถในการเปิดใจฟัง และทำงานอย่างมีวุฒิภาวะ แม้ในสถานการณ์ที่เร่งร้อน เครียดจัด และกดดัน คุณติ้งมีการบ่มเพาะและฝึกฝนตัวเองอย่างไร เธอบอกเราไว้ในบทสัมภาษณ์นี้
.
เด็กเล็กกับความรู้สึกโดดเดี่ยว
คุณติ้งเล่าว่า เธอเผชิญความรู้สึกแปลกแยก แตกต่าง ตั้งแต่ชั้นประถม 1 ที่โรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น คุณแม่ของเธอต้องย้ายไปประจำการที่สำนักงานในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สมาชิกในครอบครัวจึงย้ายไปอยู่ด้วยกันที่นั่น ตัวเธอเองเข้าโรงเรียนนานาชาติ
.
“ติ้งเป็นเด็กอนุบาลในโรงเรียนไทย รู้จักภาษาเดียวคือภาษาไทย เด็กเล็กๆ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีประเทศอื่น ภาษาอื่น — ติ้งสื่อสารในโรงเรียนไม่ได้เลย ครูพูดว่า “Take off your shoes” ก็ไม่เข้าใจ ครูต้องแสดงท่าทางให้ดู ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวประหลาดในโรงเรียน พอผ่านไป 3 เดือน เริ่มสื่อสารได้แต่ไม่มีเพื่อน เราอยากเล่นกับเขาแต่เขาไม่อยากเล่นกับเรา เพื่อนจัดงานวันเกิดแต่เขาไม่เชิญเรา โชคดีที่ติ้งชอบอ่านหนังสือ ไม่มีเพื่อนก็เข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ เป็นการแก้ปัญหาแบบเด็กๆ เราต้องอยู่ให้ได้ในแบบของเรา
.
คุณแม่ประจำที่ประเทศญี่ปุ่น 4 ปี ก็ย้ายกลับประเทศไทย พอย้ายกลับมาเรียนในโรงเรียนไทย ก็เจอปัญหาการปรับตัวอีกเพราะไม่คุ้นกับบริบททางวัฒนธรรม ไม่เข้าใจศัพท์แสลง ถูกแกล้ง ล้อเลียน บางคนแซวแล้วก็หัวเราะกันคิกคัก ทำให้รู้สึกแปลกแยก ทางออกก็คืออ่านหนังสือกับเขียนไดอารี มีหลักคิดง่ายๆ ว่า ถ้าไม่ fit-in ก็ไม่ต้องพยายาม เราก็แค่เป็นตัวเรา”
.
บทบาทของคุณพ่อคุณแม่ คุณครู ?
ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานหนัก โตขึ้นมาด้วยระเบียบวินัย จึงไม่ได้ปรับทุกข์หรือพูดคุยถึงความรู้สึกหรือสิ่งต่างๆ สิ่งที่ช่วยคือการเขียนไดอารี เขียนทุกวัน ติ้งมีไดอารีมากกว่า 20 เล่ม เคยกลับไปอ่านมันเป็นการระบายความทุกข์ของเด็กจริงๆ วันนี้โดนเพื่อนคนนี้แกล้งอีกแล้ว วันนี้ไม่อยากเจอเพื่อนคนนี้เลย ฯลฯ ติ้งคิดว่าการเขียนไดอารีเป็นวิธีการที่ดีในการระบายความทุกข์ เป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีใครตีความ ไม่มีการตัดสิน และไม่ได้ต้องการให้ใครมาเข้าใจหรือปลอบใจ แต่การเขียนไดอารีทำให้เกิดความเข้าใจตัวเอง
,
การเขียนช่วยให้ติ้งเห็นแพทเทิร์นของตัวเอง เมื่อมีคนทำแบบนี้กับเรา เรารู้สึกเจ็บ เสียใจ ทำให้เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงมักจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง และเข้าใจที่มาที่ไปที่ทำให้เรากลายเป็นเราในวันนี้ ติ้งคิดว่าการเขียนไดอารีช่วยให้ติ้งควบคุม-กำกับตัวเองได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายๆ กับการมีแผนที่จิตใจของตัวเอง รู้ว่าตรงไหนบอบบาง รู้ว่าจะต้องดูแล รับมืออย่างไร เพื่อจะเดินต่อไป พอโตขึ้นมาอีกก็เริ่มเข้าใจแบบแผนความเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์ของความสุข ความทุกข์ ทำให้รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้ ไม่ต้องปฏิเสธความทุกข์ เพราะชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์สลับกันไป
.
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของคุณติ้งเคยเล่าว่า คุณติ้งไม่เคยแสดงอารมณ์รุนแรง แต่มักจะเงียบ ไม่โต้เถียงแล้วหลบออกไป เมื่อเวลาผ่านไปจึง(อาจจะ)อธิบาย วุฒิภาวะทางอารมณ์แบบนี้เป็นมาอย่างไร
(หัวเราะ) เราสองคนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกันมาก ติ้งคงมีความคาดหวังตามประสาคนที่สนิทกันว่า เขาคงจะรับรู้ถึงความทุ่มเทและความพยายามของเรา ตอนนั้นงานยุ่งมาก จู่ๆ ติ้งก็มารู้ว่าเขาถอดงานของติ้งออกโดยไม่อธิบายอะไรเลย ตอนนั้นติ้งทั้งโกรธทั้งเสียใจ คิดว่า “ถ้าเธอจะถอดงานชิ้นนี้ออก เธอก็น่าจะบอกฉัน” แต่เขาไม่ได้บอก ปล่อยให้รู้เองทีหลัง ถ้าบอกสักคำติ้งก็คงพอจะเข้าใจ
.
แล้วทำไมตอนนั้นคุณติ้งจึงไม่ถาม ไม่พูด แต่กลับเงียบและหลบออกไปเฉยๆ
ตอนนั้นโกรธและเสียใจมากค่ะ คิดว่าถ้าพูดก็คงไม่ดี บรรยากาศในที่ทำงานก็จะเสียไปด้วย อยากให้เวลาตัวเองได้ทำความเข้าใจอารมณ์ของตัวเองก่อน ให้อารมณ์นิ่งก่อนจึงตัดสินใจเขียนข้อความไปหาเขาเพราะเชื่อว่าเขาก็ไม่สบายใจเหมือนกัน
.
ข้อความคือการบอกว่าติ้งเสียใจที่เขาทำแบบนั้น เพราะติ้งตั้งใจทำงานชิ้นนั้น ให้เวลาและให้คุณค่ากับมันมาก ติ้งเขียนอธิบายยาวและละเอียดมาก ซึ่งจริงๆ ก็กลัวผลที่กลับมา เขาอาจจะเลิกคบเรา เขาจะเปิดใจฟังเราไหม เขาจะเข้าใจไหมว่าไม่ได้ต้องการให้เอาใจ แค่อยากบอกความรู้สึก ฯลฯ โชคดีที่เขาเป็นคนเปิดใจ สักพักเดียวเพื่อนก็ส่งข้อความกลับมาขอโทษ เขาไม่รู้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้เราเสียใจ เขาไม่ได้นึก จากเหตุการณ์นั้นความสัมพันธ์ของเราก็ยังไปต่อได้จนถึงตอนนี้ ยังทะเลาะกันบ้างแต่ทะเลาะอย่างสร้างสรรค์
.
คุณติ้งใช้การเขียนเพื่อดูแลความสัมพันธ์ทุกครั้งไหม
ไม่ใช่ค่ะ ติ้งเขียนเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง แล้วก็จบ การจะสื่อสารกลับไปอีกครั้งทำกับคนสำคัญและใกล้ชิดมากพอ รู้จักกันมากพอ เชื่อใจกันได้มากพอ และเราอยากจะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าเขาอ่านแล้วจะตีความอย่างไร ถ้าเขาโต้กลับ เขาเถียง ไม่ยอมรับ มันก็จะไปกันใหญ่ ติ้งคิดว่าสิ่งสำคัญคือสื่อสารกับอารมณ์ของเราเองก่อน

.
ในกรณีที่ตัดสินใจว่าจะสื่อสารกลับไป ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ลำดับแรกคือ นิ่งก่อน ถอยออกมามองสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่กล่าวหาคู่กรณี
เมื่อสื่อสาร ติ้งพูดจากมุมของตัวเอง บอกความรู้สึก-ความต้องการของตัวเอง ไม่กล่าวหา เช่น เธอใจร้อน เธอทำผิด แต่จะบอกว่า ฉันรู้สึกอย่างนี้เมื่อเธอทำแบบนี้ ซึ่งฉันอยากให้เราคุยกันมากขึ้น หรือ ฉันอยากให้เธอแคร์ฉันบ้าง — ถ้ากล่าวหาเขาก่อน เขาก็คงปกป้องตัวเอง มีกำแพง แทนที่จะเปิดใจฟังเรา
.
ติ้งคิดอย่างไรกับวัฒนธรรมพูดลอยๆ ในโซเชียลมีเดีย ถามหาความเป็นธรรมในโลกออนไลน์ แต่ไม่พูดกับคู่กรณี
ติ้งว่ามันคล้ายการระบายความรู้สึก แต่ไม่ได้แก้ปัญหา เราสาดความรู้สึกของเราลงไปบนหน้าวอลล์ หรือทวิตเตอร์แต่ปัญหาไม่ถูกแก้ และบางทียิ่งทำให้บานปลาย ความขัดแย้งมักจะเริ่มจากการตัดสินในฝั่งของเรา “สิ่งที่เธอทำมันไม่ถูก” ดังนั้น เราต้องชะลอการตัดสินในตัวของเราก่อน การสื่อสารเพื่อความเข้าใจ เริ่มจากการเข้าใจตัวของเราเอง แล้วค่อยสื่อสาร ติ้งคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายจะมาจากภายในของคนนั้นที่อยากจะเปลี่ยน เช่น เขาไม่ทำพฤติกรรมนี้อีกเพราะเขารู้แล้วว่ามันทำร้ายคนอื่น การเปลี่ยนเกิดจากตัวเขา ไม่ใช่เพราะเรา เราสื่อสารเพื่อบอกสิ่งที่เกิดกับเรา ไม่ได้สื่อสารเพราะหวังจะให้เขาเปลี่ยน
.
ความคาดหวังและการเก็บแต้ม
ติ้งเคยแบกความคาดหวังต่อตัวเองไว้เยอะมาก
ต้องเป็นแบบนี้เพราะพ่อแม่อยากให้ทำ
ต้องเป็นแบบนี้เพราะหัวหน้าคาดหวัง
ต้องทำแบบนี้เพราะแฟนอยากให้เราเป็น
ต้องเป็นแบบนี้เพราะนี่คือการเป็นเพื่อนที่ดี ฯลฯ มันเหมือนกับว่า ไม่มีเหลือที่ตรงไหนเลยที่เราจะคงความเป็นตัวของตัวเองได้ ซึ่งมันเหนื่อยมาก
.

ในระยะหลังมานี้ ติ้งได้ปลดล็อกความรู้สึกหลายๆ อย่าง ได้เห็นว่า เมื่อได้ทำบางสิ่งเพื่อใครสักคนจริงๆ อย่างเต็มที่ในตอนนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เราไม่มีอะไรที่ติดค้างต่อกัน ไม่คาดหวัง เช่น ติ้งรักและดูแลลูกเต็มที่ โดยที่ลูกไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรกลับมา มันจบที่ตรงนั้น ลูกไม่ได้ติดค้างอะไรกับเรา เมื่อเราช่วยเพื่อนอย่างเต็มที่ มันก็จบลงแล้วที่ตรงนั้น ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีก ติ้งว่าแบบนี้เป็นการทำที่มีความหมาย และจริง (real) กว่าการทำเพราะหน้าที่ หรือทำด้วยความคาดหวัง บางทีเราทุกข์เพราะต้องการเก็บแต้ม ฉันเคยช่วยเธอนะเธอต้องตอบแทนฉันบ้าง ฉันเคยเข้าข้างเธอนะเดี๋ยวเธอต้องเข้าข้างฉันสิ การทำโดยไม่ต้องเก็บแต้มไม่ต้องกังวลเรื่องความสมบูรณ์แบบ ทำให้เราไม่เหนื่อยเพราะไม่ได้เอาความรู้สึกไปผูกไว้กับการกระทำของคนอื่น
.
การพูดคุยกับคุณติ้งครั้งนี้ ได้เปิดมุมมองและวิธีการที่เป็นรูปธรรม เพื่อที่พวกเราจะได้ลองนำไปปรับใช้ ทั้งการระบายความทุกข์ ลดการสร้างความทุกข์ต่อกัน รวมไปถึงการมีความสัมพันธ์กับตนเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ เพื่อที่พวกเราจะได้แบ่งปันชีวิตที่เบาสบาย และมีความสุข
.
………………………………………….
.
บทเรียนย่อยเพื่อฝึกทักษะการดูแลอารมณ์ https://www.happinessisthailand.com/category/microlearning/microlearning-resilience/page/2/
บทเรียนย่อยเพื่อฝึกทักษะด้านสังคม
https://www.happinessisthailand.com/2025/01/15/life-team/






