ด้านลบไม่ใช่ผู้ร้าย
เคยคิดว่าการยอมอยู่กับอารมณ์ด้านลบจะทำให้เราเป็นคนลบๆ แต่เมื่อฝึกที่จะไม่หนี ทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้วอารมณ์ด้านลบไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด อารมณ์ด้านลบไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เราคิดไปเองว่ามันน่ากลัว
.
- เวลาที่เพื่อนสนิทมีปัญหา ทำไมเพื่อนถึงไม่มาคุยกับเราทั้งที่สนิทกัน
- เมื่อก่อนพอรู้สึกหงุดหงิด ก็เลือกที่จะเงียบ ไม่พูด คิดว่าไม่สร้างปัญหา คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกดี แต่สิ่งที่เขาเห็นคือ เรานั่งหน้างอ พอเขาถามว่า ‘เป็นอะไร’ เราก็ว่า ‘ไม่มีอะไร’ แต่จริงๆ ‘มี’
- เมื่อฝึกอยู่กับด้านลบได้ ก็มีมุมมองใหม่ ‘มันก็แค่อารมณ์’ ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ทำให้ฟังคนไข้ได้ อยู่กับคนไข้ได้ เมื่อคนไข้กล้าเล่า เขาก็สบายขึ้น ไม่ต้องไปต่อที่จิตเวช
.
พวกเราทุกคนอยากคนอารมณ์ดี คนมองโลกในแง่ดีเป็นคนที่มีความสุขง่าย ไม่มีใครอยากให้ตัวเองมีอารมณ์ด้านลบ แต่ปัญหาก็คือเราสั่งอารมณ์ของเราไม่ได้ ความรู้สึกด้านลบมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้เชื้อเชิญ — จู่ๆ สามีก็พูดไม่เข้าหู จู่ๆ ลูกน้องก็ทำงานไม่ถูกใจ จู่ๆ ลูกสาวหรือลูกชายของเราก็เผลอกดปุ่มปรี๊ดในตัวเราขึ้นมา… ไม่ได้อยากโกรธ แต่โกรธไปแล้ว —พวกเรารู้ว่าอารมณ์ด้านลบกระทบความสัมพันธ์ เราจึงพยายามหลีกเลี่ยง แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า การเอาแต่หลีกเลี่ยงอารมณ์ด้านลบก็อาจจะกระทบความสัมพันธ์เช่นกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น จะทำอย่างไรดี
.

หมอฝน – พญ.วริษา เดชธราดล นายแพทย์ชำนาญการ สาขาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตรัง เล่าว่าเธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่ “ไม่ชอบอารมณ์ด้านลบเลย” หนีได้เป็นหนี เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ไม่ต้องการเผชิญ พยายามปัดทิ้ง ลืมๆ มันไปซะ “ฝนไม่ชอบเลยค่ะ จะเรียกว่ากลัวก็ได้ จะด้านลบเล็กๆ หรือลบใหญ่ๆ ก็ไม่เอาทั้งนั้น คิดว่าการหนีเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะถ้ายอมรับก็จะยิ่งทำให้พลังลบเกาะแน่นอยู่กับเรา…ไม่สบายใจ”
.
กลัวพลังด้านลบ
จริงๆ ฝนไม่ได้สนใจเรื่องอารมณ์และความรู้สึกด้านลบนะคะเพราะฝนไม่ชอบ (ฮา) แต่ฝนสนใจ การรู้จักตัวเอง ฝนสังเกตว่า “เวลาที่เพื่อนสนิทมีปัญหา ทำไมเราจึงไม่ใช่คนแรกๆ ที่เพื่อนนึกถึง” —แรกๆ ก็บอกตัวเองว่า ก็ดีนะ เราจะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องยากๆ ของเพื่อนไง สบายใจดี แต่ลึกๆ ข้างในก็ไม่ค่อยโอเค ทำไมเพื่อนถึงไม่คุยกับเราทั้งที่สนิทกัน บางทีก็คิดว่า ‘หรือเขาไม่เชื่อว่าเราจะให้คำปรึกษาได้’ ‘หรือเป็นเพราะเราไม่ใช่คนฟังที่ดี ?’ — ฝนไม่กลัวการขาดเพื่อน ไม่มีปัญหาเรื่องการสร้างเพื่อนใหม่ แต่ฝนอยากรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าให้มีความสัมพันธ์ดีๆ ไปนานๆ อยากเป็นคนที่มีคุณค่าในสายตาของเพื่อน
การรู้จักตัวเอง
หมอฝนเข้าร่วมอบรมทักษะการฟื้นคืน (resilience) เพราะอยากรู้จักตัวเอง โดยมีรุ่นพี่แพทย์คนหนึ่งเป็นผู้แนะนำ เธอสนใจหลักสูตรนี้ แต่ส่วนหนึ่งของหลักสูตรก็คือ ‘ต้องฝึกฟังและให้คำปรึกษานักศึกษาแพทย์’ ซึ่งหมอฝนกลัวมาก แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวรุ่นพี่ และความสนใจที่จะกลับมารู้จักตัวเอง ทำให้หมอฝนเข้าร่วมในการอบรมนี้
“การรู้จักตัวเองอย่างแรกก็คือ รู้ว่าตัวเองกลัวอารมณ์ด้านลบนี่แหละค่ะ” — ในหลักสูตรนี้ประกอบด้วยการฟื้นคืน 5 มิติ ซึ่งพื้นฐานของเรื่องนี้คือ ความตระหนักรู้ในตนเอง (self-awareness) การอบรมในคอร์สนี้ทำให้เห็นธรรมชาติว่า ฝนไม่ชอบอารมณ์ด้านลบมากๆ มักจะหนี หลีกเลี่ยง กลบเกลื่อน ทำเป็นไม่สนใจ ฯลฯ แต่ในหลักสูตรนี้เขาสอนให้หยุด (pause) หายใจ อนุญาตให้อารมณ์นั้นเกิดขึ้นได้ และอยู่กับความรู้สึกนั้นสักแป๊บนึง
เมื่อก่อนฝนคิดว่าการยอมอยู่กับอารมณ์ด้านลบจะทำให้เราเป็นคนลบๆ แต่เมื่อฝึกที่จะอยู่ตรงนั้น ไม่หนี ทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้วอารมณ์ด้านลบไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด เรากลัวเกินไป ซึ่งพออยู่กับตัวเองได้ทำให้สบายขึ้นมาก พอฝึกเรื่อยๆ ก็คุ้นเคย ไม่กลัว ผ่อนคลายขึ้น ฝนฝึกมาประมาณ 1 ปี รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้นนะคะ อารมณ์ด้านลบไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เราคิดไปเองว่ามันน่ากลัว”
วิธีการฝึกทำอย่างไร
ลำดับแรกคือรับรู้ก่อน (aware) รู้ว่ามีอารมณ์นี้อยู่ ลำดับต่อมาคือ หยุดและอยู่ตรงนั้น (pause) หายใจ ไม่ต้องทำอย่างอื่น ไม่หนี ไม่เลี่ยง ไม่ปฏิเสธ จากนั้นถ้าเรียกชื่ออารมณ์ได้ก็เรียก ถ้าไม่ชัด แค่บอกกับตัวเองว่า “มันโอเค ที่จะรู้สึกไม่โอเค” ถ้าอารมณ์แรงมากๆ ฝนกลับมาที่ร่างกาย จะเห็นได้เลยว่ามีร่างกายบางส่วนที่ไม่โอเค ฝนก็สัมผัสเบาๆ ที่บริเวณนั้น หรือหายใจลึกๆ ไปที่ตรงนั้น ส่งใจ มีคำพูดปลอบโยนความรู้สึกนั้น แบบฝึกหัดนี้เรียกว่า B.E.N. — แต่ปกติแล้วแค่หยุด หายใจ รับรู้ความรู้สึกนี้ก็สบายขึ้นแล้ว (รายละเอียดการฝึกอยู่ด้านล่างของบทความนี้)
ถ้าเปรียบเทียบ ระหว่างการยอมทำความรู้จัก กับการหลีกเลี่ยงอย่างเคย จะส่งผลกับตัวเราอย่างไร
ฝนคิดว่า การกลับมายอมรับอารมณ์ ใช้พลังงานน้อยกว่า healthy กว่า— ตอนที่กลัวอารมณ์ด้านลบมากๆ มันเหนื่อยกว่า และบางครั้งเราโต้กลับแรงแบบไม่รู้ตัว ซึ่งเรื่องนี้มักจะเกิดกับคนใกล้ตัว สิ่งที่ตามมาก็คือรู้สึกแย่ เศร้า ผิดหวังในตัวเอง (ถึงไม่ชอบอารมณ์ด้านลบไง) แล้วสักพักก็จะพยายามสลัดความรู้สึกลบๆ นั้นทิ้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีก็ทำอะไรดีๆ คืนกลับไปที่คู่กรณีของเราเยอะๆ เพื่อให้ทุกอย่างดูโอเค แสดงให้เห็นว่าเราพยายามกู้ทุกอย่างกลับมา ซึ่งจริงๆ ก็กู้กลับมาไม่ได้ทุกอย่างหรอก โดยเฉพาะความรู้สึกที่เสียไปแล้ว — เป็นวงจร
.
ความรู้สึกด้านลบเป็นสิ่งที่เจอได้ทุกวัน บางทีเป็นเรื่องเล็กๆ พยายามปัดมันทิ้ง แต่มันก็ทำให้หงุดหงิดไปได้ทั้งวัน เพียงเพราะอารมณ์เล็กๆ ที่เราไม่ยอมรับ การฝึกยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น พากให้กลับมาอยู่ “ตรงนี้” ง่ายๆ เป็นการตั้งหลัก เราแค่ยอมรับว่า ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอย่างนี้ รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งจะพบว่า มันก็เท่านั้นเอง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรน่ากลัว — ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

กับคนใกล้ตัว เมื่อก่อนพอรู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจ ก็เลือกที่จะเงียบ ไม่พูด คิดว่าการไม่พูดคือไม่สร้างปัญหา คิดว่าเขาจะรู้สึกดี แต่จริงๆ สิ่งที่เขาเห็นก็คือ เรานั่งหน้างอ ไม่พูดไม่จา มีความคุกรุ่นอยู่ข้างใน พอเขาถามว่า ‘เป็นอะไร’ เราก็ว่า ‘ไม่มีอะไร’ แต่จริงๆ ‘มี’ — พอทำความคุ้นเคยกับด้านลบ ยอมรับอารมณ์-ความรู้สึกได้ ก็สื่อสารได้ “ชักจะหิวแล้ว ไปร้านใกล้ๆ ดีกว่านะ จะได้ไม่หงุดหงิด” การบอกความรู้สึกจริงๆ ของเรา ก็ทำให้เข้าใกล้กันมากขึ้น เข้าใจกันดีขึ้น ไม่ต้องคิดไปเอง ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นค่ะ
ตอนที่คุณหมอฝนกลัวความรู้สึกด้านลบ ฟังความทุกข์ไม่ค่อยได้ แล้วดูแลคนไข้อย่างไรคะ
เวลาที่ฝนเจอคนไข้ยากๆ มีความเครียดสูง เสี่ยงฆ่าตัวตาย หรือเป็นจิตเวช ฝนก็จะเครียดไปก่อนแล้ว แล้วพอเริ่มจะไม่ไหว ทนไม่ได้ ก็จะไม่ฟัง เริ่มพูด อธิบายหลักการ เช่น มันเป็นเพราะสารเคมีในสมอง บลา ๆ ๆ เราจะมีข้ออ้างว่า มันเสียเวลา มีคนไข้อื่นรอตั้งเยอะ เราช่วยแล้วด้วยการจ่ายยา หรือช่วยส่งต่อไปยังแผนกจิตเวช — เราไม่รู้ตัวนี่คือธรรมชาติของการไม่อยากฟัง กลัวด้านลบ
แต่เมื่อฝึกรับรู้ด้านลบในตัวเองได้ ก็มีมุมมองใหม่ ‘มันก็แค่อารมณ์’ ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ทำให้ฟังคนไข้ได้ อยู่กับคนไข้ได้ พอฟังได้ คนไข้ก็กล้าเล่า ซึ่งหลายครั้งก็พบว่าเมื่อคนไข้ได้เล่าเขาก็สบายขึ้นเลย ไม่ต้องไปต่อที่จิตเวช — เป็นความภูมิใจลึกๆ ที่เราช่วยเขาได้ (ซึ่งก็เป็นการช่วยเพื่อนร่วมงานทางฝั่งจิตเวชด้วย เพราะเคสเยอะอยู่แล้ว)
ฝนพูดจากประสบการณ์ได้เลยค่ะว่า หมอก็มีความรู้สึกกลัว อยากหนี — ความกลัวก็เป็นอย่างหนึ่งที่เรากลับมาทักทายได้ “โอเค กำลังกลัวนะ” หายใจแป๊บนึง แล้วก็ฟังคนไข้ตรงหน้าก่อน แล้วก็จะพบว่า มันไม่เป็นไร — แพทย์ทุกคนเรียนเรื่องการฟังอยู่แล้วค่ะ แต่.. แต่ละคนฟังไม่เหมือนกัน และการฟังผ่านๆ กับฟังจริงๆ ก็ต่างกัน — จากประสบการณ์ เมื่อเราฟังตัวเองได้ เราก็สื่อสารได้ แล้วเราก็จะฟังคนอื่นได้ ช่วยคนอื่นได้ค่ะ
ความสุขประเทศไทยขอขอบคุณ พญ.วริษา เดชธราดล มา ณ ตรงนี้อีกครั้งที่แบ่งปันประสบการณ์อย่างซื่อตรงและมีชีวิตชีวา เชื่อว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์และแรงบันดาลใจจากเรื่องราวนี้อย่างมากมาย ขอเชิญท่านทดลองฝึกและศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์เหล่านี้
บทเรียนย่อยการดูแลอารมณ์ด้านลบ https://www.happinessisthailand.com/2024/08/04/anger-resilience/
บทเรียนย่อยเพื่อการฟื้นคืน (resilience) https://www.happinessisthailand.com/category/microlearning/microlearning-resilience/
คลิปวีดีโอ Resilience Series https://www.youtube.com/playlist?list=PLOIDiL5wSuZ6dKjmvY0Ovdu5g_IRRXRPT
…………………………………………………….