ศิลปะพากลับมารักตัวเอง
อาจารย์ผู้ชอบทำงานศิลปะแต่เคยล้มเลิกเพราะถูกครูตัดสิน จนกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้งเมื่ออายุเกือบ 50 ปี แค่ลองทำ ไม่ต้องกลัวว่าจะสวยหรือไม่ จนถึงวันนี้อาจารย์ได้นำศิลปะมาเป็นส่วนหนึ่งของการสอนในชั้นเรียนจิตวิทยา อาจารย์บอกว่า “ถ้าอยากทำงานศิลปะก็ทำเลย ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องประเมินค่า อยู่กับสิ่งที่ทำ แล้วผลก็จะปรากฎขึ้นมา”
.
- เสียงตัดสินตัวเองว่าฉันทำไม่ได้เป็นเสียงที่ไม่เป็นประโยชน์ เราต้องไม่ปล่อยมันกลืนกินชีวิตและปิดโอกาส
- เรื่องบางเรื่องอาจจะจริงในอดีต แต่มันจบไปแล้ว การลงมือทำในวันนี้ คือการพิสูจน์ว่าปิศาจจากอดีตตัวนั้นทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น
- พบกับ 8 ข้อดีของการทำงานศิลปะ ตั้งแต่ข้ามความกลัว ได้เยียวยา ไปจนถึงดีต่อสุขภาพจิต
.

รศ.ดร.ธีรวรรณ ธีระพงษ์ (อ.อ้อม) อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้มักจะลงสีน้ำ ใช้สีไม้ ใช้สีเมจิกในงานฝีมืออยู่เสมอ และยังชวนคนปั้นตุ๊กตา ทาสีถ้วย ฯลฯ อาจารย์บอกว่า “งานศิลปะทำให้ได้สัมผัสความงาม เมื่อได้อยู่ ได้สัมผัส ได้เห็นความสวยงาม ใจก็ผ่อนคลาย บำบัดโดยไม่ต้องบำบัด” นอกจากนี้อาจารย์ยังนำศิลปะเข้าชั้นเรียนจิตวิทยา เพราะนักจิตวิทยาต้องฝึกการสังเกตตัวเอง การเห็นตัวเอง และผ่อนคลายตัวเอง
ศิลปะในชั้นเรียน
นักศึกษาจิตวิทยาระดับปริญญาตรี ต้องเรียนวิชาการพัฒนาความตระหนักรู้ในตนเอง (self-awareness development) เขาต้องรู้จักอยู่กับ เสียงที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น “เรื่องนี้ฉันทำไม่ได้หรอก” “ฉันห่วยในเรื่องนี้” “เรื่องนี้ฉันไม่เก่ง” “โดนล้อแน่เลย” ฯลฯ ศิลปะก็จะช่วยในประเด็นนี้ได้มาก ในวิชานี้นักศึกษาเลือกทำกิจกรรมย่อยอะไรก็ได้ แต่ต้องทำต่อเนื่อง 21 วัน กิจกรรมฮอตฮิตก็เช่น การเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า และการทำงานศิลปะ
“เนื้อหาที่สอนคือการสังเกต สังเกตว่าความคิดนี้มาจากไหน มันเป็นความคิดไม่ใช่ความจริง มาแล้วไป เมื่อเห็นว่า มันมาแล้วไป เราก็อยู่กับเสียงนี้ได้ แต่ถ้าเราเชื่อ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความคิดนี้ มันก็ทำลายชีวิตของเรา ความคิดนี้อาจจะเคยเป็นจริงในอดีต ซึ่งมันจบไปแล้ว การลงมือทำในวันนี้ ทำให้เห็นว่ามันก็แค่ปิศาจจากอดีตที่คอยหลอกหลอน แต่จริงๆ แล้วมันทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น”
ส่วนนักศึกษาระดับปริญญาโท ต้องเรียนวิชา counselor self-care ซึ่งนักศึกษาจะต้องรู้จัก การถอยออกมาเพื่อสังเกตตัวเอง อาจารย์อ้อมเริ่มชั้นเรียนด้วยการชวนนักศึกษาลากเส้น Zentangle ลงในกระดาษ 7×7 ซ.ม.
“กิจกรรมนี้ใช้เวลาไม่นาน ผ่อนคลาย พอทำเสร็จก็รู้สึกได้เลยว่า ห้องเรียนมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และก็จะเรียนรู้ร่วมกันไปอย่างชื่นมื่น การสังเกตตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนักเรียนจิตวิทยา อาจารย์ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล บอกว่า เราจะต้องถอยออกมาจาก self ให้เป็น เพื่อที่เราจะได้เห็นตัวของเรา การทำศิลปะง่ายๆ ช่วยฝึกทักษะนี้ได้ การถอยออกมามอง ไม่ใช่การคิด (think) แต่เป็นการรู้ มันเป็นการภาวนาแบบหนึ่ง”

“
การสังเกตตัวเองอาศัยการทำบางอย่างซ้ำๆ เป็นแพทเทิร์น ช่วงใหม่ๆ จะจดจ่อมาก แต่ถ้าเริ่มคุ้นเคย ก็จะค่อยๆ สังเกตร่างกาย ความรู้สึก ความคิด ได้มากขึ้น เห็นใจที่มันแวบออก เรามักจะคิดเรื่องอะไร หรือเห็นความเกร็งของมือ ของบ่า เห็นว่าลืมหายใจ และนั่นก็เป็นโอกาสของการคลายด้วย
.

ศิลปะสำหรับทุกคน
อาจารย์อ้อมบอกว่า โดยพื้นฐานอาจารย์เป็น ‘ชาวถนัดคิด’ เรียนจิตวิทยา สอนในมหาวิทยาลัย ทำงานวิจัย ฯลฯ ตอนเด็กๆ อ.อ้อมชอบทำงานศิลปะแต่ถูกครูสอนศิลปะตัดสิน สะเทือนใจจึงเลิกทำ จนอายุเกือบห้าสิบปีได้เห็นพี่คนหนึ่งวาดสีน้ำอย่างง่ายๆ จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากทำบ้างก็เลยลองทำ คิดว่าอยากทำก็ทำเลย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะสวยหรือไม่สวย ดีหรือไม่ดี แล้วก็เลยทำมาตลอด จนมาถึงวันนี้ พร้อมแล้วที่จะบอกว่า “ถ้าอยากทำงานศิลปะก็ทำเลย ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องประเมินค่า อยู่กับสิ่งที่ทำ แล้วผลก็จะปรากฎขึ้นมา ศิลปะเป็นพื้นที่เปิด ไม่มีการตัดสิน (มีแต่เราตัดสินตัวเอง) สิ่งหนึ่งที่ศิลปะให้ได้มากๆ คือ โอกาสของการสัมผัสถึงความงาม (beauty) ซึ่งเราลงมือทำได้เลย”
.
8 ข้อดี ของการทำงานศิลปะ
- ก้าวข้ามความกลัว
ตอนที่ตัดสินใจเรียน Zentangle ต้องใช้เวลา 21 วัน ให้วาดวันละ 1 ลาย ตอนแรกกลัวมาก กลัวไปก่อน กลัวจะทำไม่ได้ กลัวไม่มีเวลา ฯลฯ แต่แล้วก็พบว่า ทำได้ทุกวัน และมันไม่จำเป็นต้องมั่นใจ ทำทั้งที่ไม่มั่นใจก็ได้งานสวยๆ ทุกวัน เรากลัวศิลปะอาจจะเป็นเพราะเรากลัวปลายทาง แต่ความกลัวนี้ไม่เป็นประโยชน์เลย - ฝึกความเป็นกลาง
การลากเส้น Zentangle เป็นการลากเส้นซ้ำไปซ้ำมา ง่าย ใครทำก็สวยทั้งนั้น แต่คนถนัดวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเป็นพิเศษ ชวนให้เราสังเกตปรากฎการณ์นี้อย่างเป็นกลาง มันเป็นเพียงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมา ได้ยิน รับรู้ และดูมันแบบธรรมดาๆ - เห็นธรรมชาติตัวเอง
เคยคิดว่ารู้จักตัวเองแล้วระดับหนึ่ง แต่เมื่อทำงานศิลปะเราสามารถเห็นตัวเองลึกลงไปได้อีก เช่น รู้ว่าตัวเองชอบความยืดหยุ่น ไม่เป๊ะ ชอบความสบาย ชอบเปิดให้มีความคิดสร้างสรรค์ แต่งานศิลปะทำให้เห็นว่าแม้จะเป็นคนอย่างนั้น แต่เราชอบกรอบ ชอบการมีขอบเขต ถ้าเปิดโล่งกลับไม่ชอบ มันมากเกินไป เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตจึงเข้าใจได้ว่าทำไมตัวเองจึงเลือกชีวิตแบบนี้ - ไม่กลัวเหงา
ช่วงหัดใหม่ เริ่มต้น จะมีความจดจ่อมาก มือ ตา ใจ อยู่กับสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อได้ทำต่อเนื่องสักพัก มีความคุ้นเคย ก็จะเป็นความสบาย เพลิน ความจดจ่ออาจจะน้อยลง นั่นเป็นโอกาสของการเห็นตัวเอง หรือจะปล่อยให้ตัวเองอยู่ใน flow คือ เพลินๆ ไป ก็ได้ ไม่มีอะไรถูก หรือผิด เป็นการใช้เวลาสำหรับตัวเอง เพื่อตัวเอง ไม่มีเวลาเหงา ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เป็นภาวะของความสุขและสบาย - ได้การเยียวยา
มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนมาด้วยกัน ในช่วงแรกเขาหมกมุ่นกับเรื่องในอดีต ถอนใจออกจากเรื่องนั้นไม่ได้ จนคล้ายสติไม่ดี เขาไม่ได้รู้หรอกว่าทำศิลปะแล้วจะได้อะไร แต่เมื่อครูให้ทำเขาก็ลงมือทำ จนผ่านไป 3-4 เดือน ทุกคนต่างก็เห็นได้ชัดว่าเพื่อนคนนี้แจ่มใสขึ้นมาก คลายความหมกมุ่นลง คุยได้ ย้อนมองเหตุการณ์เก่าได้ ผ่านไป 2-3 ปี ปัจจุบันเพื่อนคนนี้เป็นผู้ให้การบำบัดคนอื่นได้แล้ว - เห็นพัฒนาการ
สิ่งที่งานศิลปะแตกต่างจากกิจกรรมอื่นๆ ก็คือ ผลงานเชิงประจักษ์ จากที่เคยคิดว่า เรามันห่วย ทำไม่ได้ เราจะเห็นว่าจริงๆ นักศึกษาที่ทำต่อเนื่อง 21 วัน (หรือนานกว่านั้น) จะภูมิใจมาก มีความมั่นใจ จริงๆ แล้วทุกเรื่องที่ฝึกก็จะมีพัฒนาการทั้งนั้น แต่การเห็นผลงานเชิงประจักษ์มันเห็นชัดและง่าย - ฝึกทักษะการอยู่กับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
การลากเส้นเราสามารถเลือกได้ อยากจะเจอภาวะสบายๆ นิ่ง สงบ ก็ลากเส้นแบบที่ตัวเองชอบและ ถนัด แต่ถ้าอยากเห็นปฏิกิริยาตัวเองด้านอึดอัด ขัดเคือง ก็ให้ฝึกลายที่ไม่คุ้นเคย ไม่ถนัด ไม่ชอบ เช่นเดียวกับการใช้สี คนเราจะมีโทนสีที่ชอบ ถนัด กับโทนสีที่อึดอัด ไม่ชอบ — เราเลือกได้ - ดีต่อสุขภาพจิต
ศิลปะช่วยให้วางผลลัพธ์ แต่กลับมาอยู่กับสิ่งตรงหน้า อยู่กับมือ การลากเส้น ระบายสี ฯลฯ ออกจากการหมกมุ่นในความคิด หรือความรู้สึก มาอยู่กับสิ่งสวยงาม มันส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า ดีกว่าการเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ เพราะในนั้นมีสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเห็นเยอะมาก ถ้าอยู่ในออนไลน์แล้วจิตตก ออกมาทำงานศิลปะชิ้นเล็กๆ สักชิ้นจะดีกว่า
.
อาจารย์อ้อมเชียร์พวกเราทุกคนว่า งานศิลปะเป็นพื้นที่เปิดกว้าง จะทำอะไรก็ได้ ปั้นดิน ระบายสี ลากเส้น ทำไปเถอะ ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องประเมินผล ได้อยู่กับตัวของเรา งานของเรา เท่านี้ก็ดีพอแล้ว

………………………………………………………………….