พ่อ แม่ พระ
ตอนนั้นเป็นวิกฤตในครอบครัวของเรา เป็นวิกฤติมาตั้งแต่วันที่เขาไม่อยากออกมาเรียน ม.1 เพื่อนฝูงของเราส่วนใหญ่ก็ตำหนิ แต่ผมทำใจ รู้ว่ามีความเสี่ยง เตรียมรับความเสี่ยงไว้ ผ่านมา 20 ปีแล้ว ผมยังคงเป็นห่วง คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ห่วงเลยคงไม่มี แต่ผมมีความสุขขึ้น
.
- คุณจะทำอย่างไร จะมีปฏิกิริยาอย่างไร หากลูกของคุณซึ่งเป็นเด็กดี ว่าง่าย และเรียนเก่ง บอกความในใจว่า เขาไม่อยากเรียนหนังสืออีกต่อไปแล้ว
- ความสุขในครอบครัวจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากความมุ่งหมายของลูกกับของพ่อแม่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดียวกัน
.
คุณพนมและคุณวรรณิต สอาดชูชม เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว มีลูกชาย 3 คน ก่อร่างสร้างตัวจน ฐานะมั่นคงเพียงพอและมั่นใจว่าจะสามารถสนับสนุนลูกทั้ง 3 คน ให้มีอนาคตที่ดี เจริญก้าวหน้า อย่างเต็มกำลังความสามารถ “เรามีลูกชาย 3 คน ตั้งชื่อเป็นปลาทั้งหมด — ปลาอ้าว ปลาทู ปลานิล — ลูกแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง คนโตเป็นคนมั่นใจ กระตือรือร้น ชอบทำนั่นทำนี่ด้วยตนเอง ลูกคนกลางเป็นคนขรึมๆ ส่วนคนเล็กขี้เล่น เป็นตัวของตัวเองตามปกติ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี”
.

แม้จะรักลูกทุกคน แต่คุณพ่อคาดหวังกับลูกคนกลางเป็นพิเศษ “เขาเป็นคนนิ่งๆ มุ่งมั่น เวลาสนใจอะไรก็ลงลึกในเรื่องนั้น เลี้ยงง่ายสอนง่าย เรียนเก่ง ถ้าสอบแข่งขันก็ชนะทุกครั้ง มีชื่อ-มีรูปติดประกาศที่หน้าโรงเรียนบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้หวังว่า ลูกคนนี้จะไปไกลกว่าทุกคน จะเป็นที่พึ่งของครอบครัว มีอนาคตสดใส ได้สืบต่อกิจการให้รุ่งเรือง”
ความท้าทายเกิดขึ้นตอนที่ลูกคนกลาง-ปลาทู เรียนจบชั้นประถมต้องย้ายไปเรียนต่อในในระดับมัธยม ที่โรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง ตอนนั้นปลาทูมีเวลาว่างอยู่ 2-3 สัปดาห์ คุณป้าจึงชวนให้ไปบวชเณรภาคฤดูร้อน ปลาทูก็อยากไป พ่อแม่จึงอนุญาตเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย ประกอบกับทุกคนรู้ว่าปลาทูสนใจการบวช ตกลงกันว่า “อยู่ระหว่างรอรายงานตัวนะ ถ้าโรงเรียนแจ้งมา พ่อกับแม่จะไปรับ” ซึ่งหมายความว่า ปลาทูอาจจะบวชไม่ครบตามกำหนด — ซึ่งปลาทูก็ตกลง
ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์เศษ โรงเรียนก็แจ้งกำหนดการลงทะเบียนนักเรียนใหม่ และกิจกรรมเข้าค่ายของโรงเรียน คุณพ่อและคุณแม่จึงไปหาปลาทูที่วัด เพื่อขอสึกเณรตามที่ตกลงกัน แต่ในวันนั้น เณรปลาทูไม่ยอมสึก ไม่อยากกลับบ้าน และไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว!
.
เมื่อลูกยืนยันความต้องการ
คุณแม่เล่าในเหตุการณ์นั้นว่า “วันนั้นเดือดร้อนกันทุกคน ป้าที่ชวนหลานบวชก็ร้อนรน คุณพ่อก็เครียด คุณแม่ก็อึดอัดใจ ด้านหนึ่งก็เห็นว่าลูกดูมีความสุขในการบวช แต่อีกใจก็ค้านว่ามันยังไม่ใช่ ย้ำซ้ำๆ กับเณรว่า ‘เราตกลงกันไว้แล้วว่ายังไม่ใช่เวลาที่ท่านจะบวช ท่านต้องสึกมาเรียนหนังสือก่อน’ — แต่การขอให้ท่านสึก ก็เหมือนกับเราพยายามพรากความสุขของลูก อึดอัดใจมาก”
บทสรุปในวันนั้นคือ คุณแม่ต่อเวลาให้เณรอีก 2 วัน “ระหว่างนั้นพ่อกับแม่ทำทุกทาง ไปหาพระพี่เลี้ยง ไปกราบเรียนท่านเจ้าอาวาส ขอร้องท่านให้เกลี้ยกล่อมเณรให้สึก พอครบ 2 วัน ก็เตรียมชุดนักเรียนแล้วตรงไปหาเณรที่วัดเลย กะว่าพอออกจากวัดก็เข้ารายงานตัวที่โรงเรียน”
ทบทวนความมุ่งหมายในการเป็นพ่อเป็นแม่
คุณพ่อเล่าว่า “ตอนที่เขาบอกว่าไม่อยากสึก คืนนั้นผมร้องไห้ มีความรู้สึกชัดเจนขึ้นมาว่า ผมคงเสียลูกชายคนนี้ไปแน่แล้ว มันเป็นความสูญเสีย ไม่ใช่ความปลาบปลื้มยินดี สิ่งที่ผมกลัวมันมาถึงแล้ว — แม้ว่าเรายังยื้อลูกไว้ได้บ้าง แต่ลึกลงไปผมรู้ว่า ผมคงเสียลูกชายคนนี้ไปแน่แล้ว — ไม่มีโอกาสได้กอด ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างที่เคยเป็นมา”
คุณพ่อเล่าว่าทุกคนในบ้านรู้ว่าน้องปลาทูสนใจการบวช มักจะอาสาบวชหน้าไฟให้ญาติที่เสียชีวิต ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ชอบความสงบ “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในวันหยุดมีลูกหลานมาเล่นด้วยกันที่บ้านหลายคนส่งเสียงเอะอะตามประสาเด็ก ปลาทูก็อยู่ในห้องนั้นด้วย แต่เขาเอาผ้าคลุมเตียงมาห่มตัว นั่งในท่าสมาธิอยู่ที่มุมห้อง เล่นเป็นพระนั่งสมาธิ”

พ่อแม่ เคยคุยกับปลาทูว่า ถ้าอยากบวชก็ขอให้เรียนให้จบปริญญาตรีก่อน ให้เห็นโลกกว้างๆ แล้วถ้ายังยืนยันว่าจะบวชพ่อและแม่จะไม่ห้าม คุณย่าเคยเป็นห่วงในประเด็นนี้แต่พ่อกับแม่ไม่กังวล เพราะเห็นว่าเวลายังอีกยาวไกล แต่กลายเป็นว่าเวลานั้นมาถึงเร็วเกินกว่าจะคาดคิด
“คืนนั้นผมข่มตานอนไม่ลง คิด ๆ ๆ เขายังเด็ก ไม่มีวุฒิการศึกษา ถ้าสึกกลางทางจะทำอย่างไร ฯลฯ จนกระทั่งจู่ๆ ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สิ่งต่างๆ ที่ผมพยายามทำมาทั้งหมด เช่น ผมอยากให้ลูกเรียนดีๆ อยากให้ลูกมีฐานะ อยากให้ลูกมีความเจริญก้าวหน้า มีทรัพย์สินเป็นปึกแผ่น มั่นคง ทั้งหมดนี้เพราะผมอยากให้ลูกมีความสุข และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเลยว่า ลูกมีความสุขที่ได้บวชเณร เขามีความสุขจริงๆ ผมไม่ได้หลอกตัวเอง … หรือว่ากรอบคิดของผมจะผิด หรือว่าจริงๆ แล้ว ลูกคนนี้เขาต้องการแค่นี้ แค่เปลี่ยนสถานภาพเป็นนักบวชเท่านั้น แล้วเราจะขวางลูกทำไม ? พอคิดได้อย่างนี้ผมก็ทำใจได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า เตรียมแก้ไขในวันข้างหน้า — แล้วผมก็เข้านอน”
น้องปลาทูสึกจากเณรในเช้าวันที่ต้องเข้ารายงานตัวที่โรงเรียนใหม่ เพราะคนแวดล้อมช่วยกันโน้มน้าว คุณแม่เล่าบรรยากาศว่า “เขายอมสึกแต่ก็เศร้ามาก สลดหดหู่ เงียบ และไม่พูดจาอะไรเลยตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถ แม่ก็ไม่สบายใจ” จนกระทั่งคุณพ่อพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้นะปลาทู ลูกลองเรียนสักปีหนึ่งก่อน ถ้าไม่ชอบจริงๆ ถ้าลูกยังอยากบวชจริงๆ เราค่อยมาคุยกัน พ่อกับแม่จะไม่ห้ามลูกอีก” พอจบประโยคนี้ น้องปลาทูก็ดูสดชื่นขึ้น แล้วก็เริ่มพูดคุยเป็นปกติ” — นี่คือการเจรจาต่อรองครั้งแรกของพ่อแม่กับลูกชายวัย 12 ขวบ
“ตอนนั้นแม่มีเวลา 1 ปี คุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่า สิ่งที่เราต้องการจากลูกคืออะไรกันแน่ ‘เราอยากให้ลูกมีความสุขใช่ไหม?’ แม้คำตอบจะบอกว่า ใช่ แต่ใจก็ยังไม่ยอมรับ มีความกระวนกระวายลึกๆ ระหว่างปีนั้นแม่ไม่พูดถึงอนาคต ไม่เอ่ยถึงการบวชอีกเลย ยังหวังลึกๆ ว่าการแวดล้อมในสังคมใหม่อาจจะทำให้น้องเปลี่ยนเป้าหมาย อาจจะติดเพื่อน อาจจะสนใจสิ่งต่างๆ ตามวัย จนกระทั่งใกล้จะครบปี วันหนึ่งปลาทูก็ถามว่า “แม่หาวัดที่ลูกจะไปบวชได้หรือยัง” — นั่นทำให้แม่รู้ว่า คงต้องยอมรับ”
คุณแม่เล่าว่า แม้ว่าในตอนนั้นจะทำใจได้พอสมควร แต่ก็ยังมีหวังว่าลูกอาจจะเปลี่ยนใจ จึงไม่ทำเรื่องลาออกจากโรงเรียน “วัดที่น้องไปบวช มีงานบวชภาคฤดูร้อน คนไปบวชเยอะ แม่ยังคิดว่าเขาอาจจะสนุกตอนบวช พอช่วงที่ทุกคนสึก ลูกก็อาจจะสึกตามเพื่อน ประกอบกับครูที่โรงเรียนก็ผ่อนผันให้เพราะเป็นเด็กเรียนดี”
วันหนึ่ง เณรปลาทูก็ถามว่า “แม่ลาออกให้เณรหรือยัง” คุณแม่ก็ว่ายัง เพราะคุณครูแนะนำให้ดรอปไว้ก่อน ถ้าเบื่อการบวชก็กลับไปเรียนได้ตามปกติ “วุฒิการศึกษาในตอนนี้คือ ป.6 เผื่อเณรอยากจะเรียนต่อให้จบ ม.3” แต่เณรยืนยันว่า “เณรไม่ดรอป ขอให้แม่ลาออกเลย เณรอยากจะแน่วแน่ ไม่อยากมีทางเลือกหลายทาง”
ภาพในขณะนั้นก็คือ เด็กชายอายุ 13 ปี ที่ยืนยันที่จะเลือกอนาคตของตนเอง คุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไร วางจิตวางใจตัวเองอย่างไร
คุณแม่ – ตอนนั้นแม่เป็นห่วงเรื่องวุฒิการศึกษา ถ้าสึกออกมาจะทำมาหากินอย่างไร อนาคตจะอย่างไร พยายามคุย ซึ่งเณรก็ตอบว่า “ยังไม่ได้คิดไปถึงตรงนั้น ขออยู่แบบนี้ในตอนนี้ก่อน” — แม่ฟังแล้วก็ต้องเงียบ เป็นห่วง กังวล แต่ทำอะไรไม่ได้ — “มั่นใจว่าลูกจะเป็นนักบวชที่ดี แต่กลัวความไม่แน่นอนของอนาคต”
คุณพ่อ – มันเป็นวิกฤตในครอบครัวของเรานะครับ จริงๆ เป็นวิกฤติมาปีนึงแล้วตั้งแต่วันที่เขาไม่อยากสึกออกมาเรียน ม.1 — ในช่วงนั้นเพื่อนฝูงของเรา (เพื่อนของคุณพ่อและคุณแม่) ต่างก็ให้ความเห็นกันมากมาย ส่วนใหญ่ตำหนิว่า ปล่อยลูกอย่างนี้ได้อย่างไร ตามใจลูก ทำอย่างนี้ไม่ถูก ไม่เป็นห่วงอนาคตลูกหรือยังไง ฯลฯ แต่ผมทำใจตั้งแต่คืนนั้นแล้ว ผมรู้ว่ามีความเสี่ยง ผมเตรียมรับความเสี่ยงไว้ ยิ่งนานวัน สิ่งที่เคยห่วง กังวลก็คลายลง ผ่านมา 20 ปีแล้ว ถามว่ายังมีไหม ก็ยังมี คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ห่วงเลยคงไม่มี
.

บทเรียนจากวิกฤติในครั้งนั้นส่งผลต่อความนึกคิด การวางแผน การเลี้ยงลูกอีก 2 คนอย่างไรบ้าง
คุณพ่อ – ผมมีความสุขขึ้นมากนะครับ ก่อนหน้านี้ แม้ว่าผมจะมีฐานะดีในระดับหนึ่ง มีในสิ่งที่อยากมีได้ แต่ลึกๆ ผมรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง แต่นับตั้งแต่คืนที่ลูกบอกว่าจะบวชและผมนอนไม่หลับ จนกระทั่งตัดสินใจได้ ผมไม่เคยรู้สึกโหวงๆ อย่างนั้นอีกเลย แปลกมาก — หลังจากนั้นผมไม่กะเกณฑ์กับลูกคนอื่นๆ อีกเลย ยังคงให้ความรัก มีคำปรึกษาแบบพ่อ-ลูก แต่ผมไม่คาดหวัง ไม่กะเกณฑ์ว่าต้องเรียนอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องธุรกิจของครอบครัวก็ปล่อยได้ ถ้าลูกอยากทำ ผมยินดีให้ทำ แต่ถ้าลูกไม่อยากทำ ผมไม่บังคับ ผมคุยกับลูกเรื่องการใช้ชีวิต เตรียมความคิด แต่สุดท้ายเขาจะอย่างไร มันก็ชีวิตของเขา
คุณแม่ – พอเราให้ลูกๆ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเขาสนใจ บางครั้งเป็นสิ่งที่เขาชอบ บางครั้งเป็นสิ่งที่เขาถนัด หรือมันอาจจะแค่สนใจ แต่ถ้าเขาได้เลือกเอง มันทำให้เขาเรียนได้ดี และทำสิ่งต่างๆ อย่างมีคุณภาพ
คุณพ่อคุณแม่วางใจเรื่องความมั่นคง ความสุขสบายในชีวิตของลูกและของตัวเองอย่างไร
คุณพ่อ – พอผมอายุมากขึ้น เห็นโลกด้านในมากๆ เข้า ผมไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ความมั่นคง’ — ความมั่นคงมันไม่มี ความมั่นคงเป็นแค่ความรู้สึก ไม่ใช่ทรัพย์สิน เงินทอง — ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ ธรรมชาติ พอเห็นอย่างนี้แล้วมันทำให้ผมใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน ทีละวัน ซึ่งผมมีความสุขดี เขาพาให้พ่อแม่ได้รู้จักธรรม
ช่วงนี้มีข่าวพระเยอะมากๆ คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงไหม
คุณแม่ – ก็มีบ้าง แว้บๆ ต้องคอยกลับมาบอกตัวเองว่าเราต้องมั่นใจในตัวลูก ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่พื้นฐานที่สุดคือ เราต้องกลับมามั่นใจในตัวลูกของเรา — พระก็บอกอยู่เรื่อยๆ ว่า พระไม่ได้อยู่ที่จีวร ไม่ใช่พอเปลี่ยนการนุ่งห่ม แล้วก็เป็นพระ พระต้องผ่านการขัดเกลา และท่านก็ยังมีความสุขในการ เป็นพระในวันนี้ ฟังอย่างนี้แล้วแม่ก็สบายใจ
แม่ไม่เคยเชื่อเรื่องเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ แต่การเป็นนักบวชของลูกได้เปลี่ยนความเห็น (ทิฏฐิ) ของเรา การเป็นอยู่ของเขาทำให้เรามีสัมมาทิฏฐิ ทำให้ตัวเราอยู่ในเส้นทาง ได้เจอสิ่งที่ประเสริฐขึ้นไปเรื่อยๆ มีกัลยาณมิตร ได้ฟังธรรม สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้รู้สึกว่า นี่สินะที่เรียกว่า บุญจากการบวชของลูก
คุณพ่อ – ในความเป็นพ่อซึ่งเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับพระ รู้จักธรรมชาติของกายของใจ บางครั้งผมก็ได้นั่งคุยกับพระ ทุกเรื่องมีโอกาสที่จะเกิดได้ตลอดเวลา อย่าไว้ใจตัวเอง อย่าประมาท อย่าสร้างโอกาสให้ตัวเอง หลีกเลี่ยงโอกาสที่จะทำให้เกิดความผิดพลาด อย่าพาตัวเองไปอยู่ในความเสี่ยง — ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม — ตัวผมมีความสุขดีและเห็นว่าท่านก็มีความสุขดีในตอนนี้ ให้อนาคตเป็นเรื่องของอนาคตครับ
เรื่องราวชีวิตการเป็นพ่อแม่ของคุณพนมและคุณวรรณิต สอาดชูชม เป็นเรื่องราวที่บ่มเพาะนานถึง 20 ปี กว่าจะตกผลึกในวันนี้ เรื่องราวนี้เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราทุกได้สำรวจการให้คุณค่าและความมุ่งหมายของชีวิต รวมถึงความคาดหวังที่มีต่อลูก และการเป็นพ่อแม่ที่มีใจเปิดกว้าง
ปัจจุบัน ปลาอ้าวทำงานด้านการท่องเที่ยว มีความเชี่ยวชาญในภาษาญี่ปุ่น ปลาทูยังคงมีความสุขในชีวิตนักบวชเรียนจบเปรียญแปด กำลังศึกษาเปรียญเก้า เป็นพระธรรมาจารย์ มีความเชี่ยวชาญในหลายภาษา ปลานิลเรียนจบด้านศิลปศาสตร์ ทำงานด้านวรรณกรรมแปล และช่วยกิจการของครอบครัว
……………………………………………………………