ขนมน้ำใจชื่อว่าอาซูรออ์
การพบปะ เจอะเจอ ช่วยเหลือกันเป็นพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์เราอยู่รอดมาได้ และน้ำใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากโดยเฉพาะในยามที่ยากลำบาก นี่อาจจะเป็นพื้นฐานที่สุดของอาซูรออ์ เพราะประเพณีกวนอาซูรออ์ทำให้เราได้เห็นน้ำใจกัน
.
- ส่วนผสมหลักของอาซูรออ์ คือ ข้าวและธัญพืช รวมไปพืชผลไม้ เช่น กล้วย ฟักทอง เผือก มัน ข้าวโพด ฯลฯ แต่ส่วนผสมที่สำคัญที่สุดคือน้ำใจ มิตรภาพ การแบ่งปัน และโอกาสของการมีส่วนร่วม
- อาซูรออ์เป็นขนมที่เกิดจากการเอาของแต่ละบ้านมารวมกัน การได้ทำด้วยกันคือเป้าหมาย
.
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนแรกของปฏิทินอาหรับ (เดือนมุฮัรรอม) และกิจกรรมหนึ่งในเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวมุสลิมก็คือ ประเพณีกวนอาซูรออ์ อาหารแห่งมิตรภาพและความสามัคคี
.

การกวนอาซูรออ์มีตำนานย้อนกลับไปสมัยน้ำท่วมโลก มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายรอดมาได้เพราะนบีนุหฺ (โนอาห์) พามนุษย์และสัตว์จำนวนหนึ่งขึ้นเรือ — เมื่อภัยพิบัติสิ้นสุด แม้จะรอดตายแต่ทุกคนต่างก็ประสบกับความขาดแคลนหิวโหย นบีนุหฺ จึงชวนให้ทุกคนนำอาหารที่ตนมี ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ขอให้นำมาวางรวมกันแล้วปรุงเป็นอาหารชนิดใหม่ที่ให้พลังงานสูง และยังสามารถเก็บเอาไว้ได้เป็นเวลานาน เมื่อปรุงเสร็จอาหารนี้ก็แจกจ่ายกลับไปยังทุกคน ทุกครอบครัว เพื่อให้คลายจากความหิวโหย อาหารชนิดนี้เรียกว่า อาซูรออ์ พี่น้องชาวมุสลิมในทั่วโลกยังคงมีประเพณีกวนอาซูรออ์ มาจนถึงทุกวันนี้ แม้บางท้องถิ่นอาจจะเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป
เดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ก็ได้จัดกิจกรรมกึ่งประเพณี กวนอาซูรออ์ อีกครั้ง มีการประชาสัมพันธ์งาน รับบริจาควัตถุดิบเพื่ออาซูรออ์ และชวนมาลงแรงร่วมใจในกิจกรรมการกวนขนม จะมาชม หรือแค่รอชิมก็ได้ทั้งนั้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บัญชา เตส่วน รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ ประธานการจัดงานคุยให้ฟังว่า การกวนอาซูรออ์ เป็นวัฒนธรรมชาวมุสลิมที่สืบทอดกันมายาวนาน แตกต่างกันไปบ้างตามรายละเอียดในแต่ประเทศ แต่ละท้องถิ่น แต่โดยพื้นฐานคือความร่วมแรงร่วมใจ การช่วยเหลือเกื้อกูล และแสดงความมีน้ำใจต่อกัน เป็นงานกระชับความสัมพันธ์ กระชับความเชื่อมั่น ความแน่นแฟ้นของชุมชน
.

“วัตถุดิบหลักของอาซูรออ์ คือ ข้าวและธัญพืช ไม่จำกัดชนิด จะเป็นข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวดำ ข้าวขาว รับได้ทั้งหมด วัตถุดิบอีกกลุ่มคือธัญพืชได้แก่ถั่วต่างๆ – ถั่วเขียว ถั่วแดง ลูกเดือย ถั่วดำ ฯลฯ วัตถุดิบกลุ่มต่อมาคือ พืชผลไม้ วัตถุดิบกลุ่มนี้ให้ความหวาน ให้กลิ่นหอม เช่น กล้วย ฟักทอง เผือก มัน ข้าวโพด มะพร้าว น้ำตาล ฯลฯ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่วัตถุดิบ แต่คือการแบ่งปัน การเปิดรับ โอกาสของการมีส่วนร่วม บ้านใครมีอะไรก็เอามาร่วมกันได้ทั้งนั้น จะมาก จะน้อยก็เอามารวมกัน และหากว่าไม่มีอะไรเลยก็แค่พาตัวเองมา มาช่วยกันกวน มาให้กำลังใจก็ได้” อาจารย์เล่าให้ฟังอย่างใจดี
อาซูรออ์ มีเสน่ห์มากตรงที่ ขนมนี้ไม่มีสูตร (recipe) ที่แน่ชัดตายตัว อาซูรออ์แต่ละกระทะขึ้นกับว่าครั้งนั้นมีวัตถุดิบอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่ทำหน้าที่ ‘เชฟ’ จึงต้องเป็นผู้ที่มีทักษะในอาหารตามสมควร เพราะนอกจากจะต้องทำหน้าที่ในการ “ยำ” ทุกอย่างลงกระทะ กะปริมาณ อะไรใส่ก่อน อะไรใส่ทีหลัง ก็ยังต้องคำนึงถึงรสชาติความเข้มข้น กลมกล่อม
“อาซูรออ์มีอยู่ 2-3 ประเภทครับ ประเภทแรกกินได้ง่ายๆ คล้ายๆ ขนมกวน อาซูรออ์ประเภทต่อมาจะใส่เครื่องเทศ เช่น พริกไทย ยี่หร่า ลูกผักชี และบางทีก็อาจจะมี อาซูรออ์ประเภทสุดท้าย คือใส่เนื้อสัตว์ เป็นอาซูรออ์รสเค็ม มีลักษณะของอาหารคาว — ทั้งหมดนี้ขึ้นกับวัตถุดิบที่ได้มาเป็นสำคัญ
เราจะไม่ตั้งเป้าว่า การกวนอาซูรออ์ จะต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น เพราะอาซูรออ์เป็นขนมที่เกิดจากการเอาของแต่ละบ้านมารวมกัน การเอามารวมกัน ทำร่วมกัน คือเป้าหมาย” — นี่สินะ ของแท้ที่เรียกว่า เสน่ห์ปลายจวัก ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็หลง
วัตถุดิบหลักของ อาซูรออ์ ตามประเพณีนั้นมีอยู่ แต่บางสิ่งบางอย่างก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ดังนั้น อาซูรออ์ในระยะหลังจึงอาจจะใส่ผงโกโก้ โอวัลติน หรืออาจจะมีมัตจะ (matcha) เป็นองค์ประกอบก็ได้ ไม่ผิดอะไร
ด้วยความที่วัตถุดิบเปลี่ยนไปทุกครั้ง ทุกปี ระยะเวลาในการกวนอาซูรออ์จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ ธนาพงศ์ ไชยรีย์ – เอ็กซ์ หัวเรี่ยวหัวแรงหลักในคณะผู้จัดงานเล่าว่า “ปีที่แล้ว คณะเริ่มกวนอาซูรออ์ตอนแปดโมงเช้า จนสี่โมงเย็นก็ยังไม่เสร็จ ! — ปีนี้มีฟักทอง มีเผือกมาก พวกเราเลยเตรียมวัตถุดิบตั้งแต่เช้ามากๆ เริ่มกวนแปดโมงเช้า แต่พอบ่ายสองโมงก็เสร็จแล้ว ปีนี้เสร็จเร็ว (กวนนาน 6 ชั่วโมง เรียกว่าเร็ว!) อาจารย์บางท่านบอกว่าจะมาดู จะมาช่วย เลยมาไม่ทัน
ดูเผินๆ เหมือนว่าไฮไลต์อยู่ที่การกวน แต่จริงๆ แล้วอาซูรออ์ อาศัยการช่วยกันในเกือบทุกขั้นตอนเลยนะครับ ตั้งแต่การเตรียมกระทะ-ต้องไปยืมวัดไทยที่มีกระทะใบบัว เตรียมไม้พาย ที่สำคัญคืออาศัยแรงคนจำนวนมาก งานกวนเป็นงานหนัก และใช้เวลานาน ไม่ใช้เครื่องจักรเพราะหัวใจหลักคือการร่วมแรงร่วมใจ ร่วมไม้ร่วมมือ ทำด้วยกัน ”
บรรยากาศการกวนอาซูรออ์ หน้าคณะมนุษยศาสตร์ฯ ในวันนั้นเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เช้าจรดเย็น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิม คณาอาจารย์ในคณะต่างๆ ก็หลากหลายทางเชื้อชาติ
.

“ท่านคณบดีทำหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่และคณาจารย์ทุกคณะเลยครับ เชิญให้มาชมงาน มาร่วมกิจกรรม ซึ่งก็มีอาจารย์จากคณะต่างๆ แวะมาทักทายกันเป็นระยะๆ อาจารย์ต่างชาติให้ความสนใจมาก อาจารย์บางท่านมาจากที่ไกลๆ ครับ มาจากตะวันออกกลางก็มี พอเห็นวัฒนธรรมนี้ก็คลายจากความคิดถึงบ้าน อาจารย์บางท่านมาช่วยกวน บางทีแค่มาทักทาย เป็นโอกาสที่เราได้ทำอะไรสนุกๆ ด้วยกัน นักศึกษากับอาจารย์ก็คุยเล่นกันได้ บางคนก็ใช้โอกาสนี้นั่งคุยกับเพื่อน บางทีแค่ผ่านมาแซว มาให้กำลังใจ ก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ น้องๆ นักศึกษาที่นี่จำนวนมากมาจากท้องถิ่นห่างไกล ห่างจากบ้าน คิดถึงบ้าน กิจกรรมนี้เป็นโอกาสเล็กๆ ที่ทุกคนจะได้มาอยู่ด้วยกัน มีบรรยากาศของชุมชนให้คลายความคิดถึง”
บ่ายแก่ๆ ขนมเซ็ตตัว อาจารย์ผู้ใหญ่ช่วยกันตัดขนม แบ่งสรรปันส่วน แจกจ่ายไปยังคณาจารย์ นักศึกษา รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนัดหน้าคณะ แจกคนทั่วไป ซึ่งก็มีความคึกคักครื้นเครงพอสมควร
อาจารย์บัญชาให้ความเห็นว่าประเพณีที่กระชับความสัมพันธ์ของผู้คนแบบนี้มีอยู่ในทุกวัฒนธรรม เช่น การทำกระยาสารทในช่วงใกล้ออกพรรษา หรือ การทำขนมไหว้เจ้าในช่วงตรุษจีนของชาวจีน
“มันเป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลอง การมาพบปะ เจอะเจอ ได้ฉลองความสุขหลังจากที่ผ่านความยากๆ มา เป็นพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์เราอยู่รอดมาได้ น้ำใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากโดยเฉพาะในยามที่ยากลำบาก เพราะเราได้เห็นน้ำใจกัน นี่อาจจะเป็นพื้นฐานที่สุดของอาซูรออ์”
บางที สิ่งทำให้อาซูรออ์มีเสน่ห์สุดๆ ก็อาจจะเป็นเพราะการคาดเดาไม่ได้ของรสชาติและวัตถุดิบ ใหม่ทุกครั้ง ไม่เหมือนกันในแต่ละปี ไม่มีการซ้ำในแต่ละกระทะ ประเพณีกวนอาซูรออ์สวยงามเพราะเต็มไปด้วยทักษะ น้ำใจ แรงกาย มิตรภาพ ฯลฯ หลายสิ่งหลายอย่างผสมผสานอย่างกลมกลืนกันในขนมชิ้นนี้
……………………………………………