วิชามู กับ วิชาใจ
พวกเราทุกคนมีต้นทุนทางจิตวิญญาณภายใน เช่น การเคารพตัวเอง เคารพความพยายามของตัวเอง อดทน มีความหวัง ฯลฯ และพวกเราก็มีต้นทุนทางจิตวิญญาณภายนอก เช่น พระพุทธรูป การเข้าโบสถ์ คุณพ่อคุณแม่ หรือครูอาจารย์ที่เราเข้าพึ่ง ขอพร และเป็นเรื่องที่ดีมาก หากการเชื่อมโยงกับพลังทางจิตวิญญาณภายนอกเหล่านั้น ได้กลับมาเติมพลังจิตวิญญาณภายในของเรา
.
- โซเชียลมีเดียเหมือนแคตตาล็อกขนาดใหญ่ที่ป้อนภาพชีวิตดีๆ ประกอบกับสภาพการณ์ที่แข่งขันสูง ฉับพลันทันที เราต้องการความสำเร็จในชั่วข้ามคืน ซึ่งบางครั้งมันเกินศักยภาพของมนุษย์ธรรมดาๆ ดังนั้น ถ้าจะมีอะไรก็ตามที่จะเป็นตัวช่วย เป็นเครื่องส่ง ผู้คนก็คงอยากมีสิ่งนั้นเอาไว้บ้าง’ซึ่งรวมไปถึงการพึ่งพลังที่เรียกกันว่า “สายมู”
- ในยามที่อ่อนแอมากๆ อาจจะจำเป็นที่ต้องการพรจากภายนอก เรื่องมู ไพ่ หินพลัง หรืออะไรก็ตามเป็นพลังจากภายนอก หลวงพี่อยากให้พวกเราพัฒนาพลังจากภายใน อยากให้พวกเราบ่มเพาะความมั่นคงที่ภายใน ไม่ได้ปฏิเสธการมีที่พึ่งภายนอก แต่ขอให้พลังจากภายนอกกลับมาสร้างความแข็งแรง ความมั่นคงที่ภายใน
.

ในวันที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด แต่ผู้คนโดดเดี่ยว ขาดที่พึ่ง ก่อนจะลงทะเบียนวิชามู ทีมงานความสุขประเทศไทยชวนคุยกับผู้ดูแลเพจวิชาใจ หลวงพี่โก๋ พระจิตร์ จิตฺตสํวโร งประธานมูลนิธิร่มเย็ญ
.
หลวงพี่มีความความเห็นต่อ “สายมู” อย่างไร
หลวงพี่ต้องบอกก่อนว่า เอาจริงๆ หลวงพี่ก็ไม่ค่อยรู้เพราะหลวงพี่ไม่ได้อยู่ในโลกโซเชียล คนที่มาหา เราก็มักจะคุยแต่เรื่องจิตใจ แต่หลวงพี่ก็ทำการบ้านมานิดหน่อยเมื่อรู้ว่าเราจะคุยกันเรื่องนี้ เปิดหูเปิดตาดีครับ ทำให้หลวงพี่ได้เห็นว่า ‘มู’ ที่ว่านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับช่วงวัย วุฒิการศึกษา หรือฐานะทางสังคม พูดง่ายๆ ก็คือ ‘สายมู’ เรื่องที่ใครๆ ก็ทำกัน
มีคนบอกหลวงพี่ว่า แม้แต่คนที่มีการศึกษาสูงๆ ก็ยังไปทำ นะหน้าทอง บางคนบินไปขอพรที่ต่างประเทศ แม้แต่คนดังในระดับโลก ที่เราเห็นว่าเขาเก่ง เขามีความสามารถ เขาก็ยังไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งที่เหนือกว่า สิ่งที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งนั้นคืออะไร— บางทีก็น่าตกใจนะครับ ที่เราเอาเงินทองที่หามาได้โดยยากไปใช้ในทางนี้ มันแปลว่า มีความต้องการความช่วยเหลือ อยู่มากทีเดียว
สำหรับตัวหลวงพี่ซึ่งเป็นพระสงฆ์ หลวงพี่รู้ว่า ครูบาอาจารย์ทางพุทธตำหนิติเตียนเรื่องนี้มาก เพราะมันพาคนออกจากทางสว่าง แต่ตัวหลวงพี่อยากมองเรื่องนี้ในมิติจิตใจ
หลวงพี่เห็นจริงๆ ว่า โลกสมัยใหม่เป็นโลกที่ท้าทายมากขึ้นๆ แข่งขันสูง และเป็นการแข่งขันข้ามชาติ โลกเปิดพรมแดน เทคโนโลยีก้าวหน้า ทักษะ ความรู้ การทำงานก็เปลี่ยนไป บางวิชาชีพถูกปัญญาประดิษฐ์ disrupt ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอบเขตการแข่งขันอยู่ที่ไหน พร้อมกันนั้น พวกเราแต่ละคนก็มีแรงบันดาลใจ มีภาพของการใช้ชีวิตที่ดี ที่มาจากสื่อโซเชียล
โซเชียลมีเดียเหมือนแคตตาล็อกขนาดใหญ่ ที่ฉายภาพวิถีชีวิตผู้คนมาให้พวกเราดู ฉายภาพ ‘ชีวิตดี’ ภาพฝัน ภาพอุดมคติ ฯลฯ แต่เราต้องไม่ลืมว่าภาพเหล่านั้นมันเป็นแค่ ‘ภาพ’ — จริงหรือตัดแต่งก็ยังไม่รู้เลย
พวกเราถูกป้อนด้วยภาพ ใช้ชีวิตในโลกที่แข่งขันสูง ต้องการความฉับพลันทันที ต้องการความสำเร็จในชั่วข้ามคืน ต้องการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย สื่อฉายภาพเหล่านี้ไว้เยอะ และพวกเราเชื่อในความเป็นไปได้ใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งมันดูเกินศักยภาพของมนุษย์ธรรมดาๆ ดังนั้น ถ้าจะมีอะไรก็ตามที่จะเป็นตัวช่วย เป็นเครื่องส่ง พวกเราก็คงอยากมีสิ่งนั้นเอาไว้เป็นหลักประกัน พูดง่ายๆ ก็คือ ‘ขอเก็บทุกเม็ด’ ‘อะไรที่คนอื่นเขามีกัน เราก็ต้องมีเผื่อๆ ไว้บ้าง’ ซึ่งรวมไปถึงการพึ่งพลังที่เรียกกันว่า สายมู
แล้วเป็นปัญหาไหมคะ
หลวงพี่ขอพูดตรงๆ นะครับ — ถ้าหลวงพี่ยังอยู่วงจรนั้น จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่หลวงพี่พูดข้างต้นเป็นสภาพที่เป็นอยู่ เลี่ยงได้ยาก แต่เพราะมันเป็นอย่างนั้น หลวงพี่จึงเห็นความสำคัญและอยากให้พวกเราหันกลับมาพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด
หลวงพี่อยากเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่หลวงพี่ประทับใจมาก เรื่องนี้เกิดขึ้นมาสักสิบปีก่อน มีคนหนึ่งถูกยืมเงินไปราวๆ สามแสนบาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร พยายามติดตามทวงถามแต่ก็ไม่มีความคืบหน้า วันหนึ่งเพื่อนของภรรยาแนะนำเขาว่า “ถ้าอยากได้เงินคืนก็ลองไปทำพิธีสิ มีค่าใช้จ่ายราวๆ 20,000 -30,000 บาท” — ก็ดูจะคุ้มอยู่นะครับ เพราะมันแค่ 10% เท่านั้นเอง

ผู้ชายคนนี้คิดทบทวนแล้วก็บอกว่า “ค่าใช้จ่ายคงจะไม่ใช่แค่นั้น เพราะ ถ้าทำพิธีแล้วไม่ได้เงินคืน ก็เท่ากับเสีย 20,000 -30,000 บาทนี้ไปฟรีๆ แทนที่จะเสียแค่สามแสนบาทนั้น นอกจากนี้ก็คงจะเสียความรู้สึก — ผิดหวัง เซ็ง ฯลฯ และก็คงขัดใจกับเพื่อนคนที่แนะนำ นอกจากนี้ก็อาจจะมีปากเสียงกับภรรยา เพราะเพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนของภรรยา และ ภรรยาก็เสียความสัมพันธ์กับเพื่อนไปด้วย — ดูๆ แล้วเสียตลอดห่วงโซ่ แต่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น ถ้าทำพิธีแล้วได้เงินคืน ถ้ามาถึงตรงนี้ เขาคงเสียศรัทธาที่มีต่อตัวของเองไป เพราะยกศรัทธาให้ผู้ที่ทำพิธีคนนั้น ตอนนี้เรียกสองหมื่นก็ให้ ต่อไปถ้าเรียกสักห้าหมื่นก็คงจะให้อีก หรือถ้าเรียกเป็นแสนก็คงจะให้ — เขาไม่อยากยกศรัทธาของเขาให้กับสิ่งที่ไม่แน่ชัดอย่างนี้
เวลาที่ปกติดี เราก็คงพอจะดูแลตัวเองได้ แต่ช่วงที่แบตเตอร์รี่ในตัวของเราอ่อน พลังด้านในของเราไม่เหลือ เราก็อยากพึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ พึ่งตัวแทนหรือผู้ที่เชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ เช่น คนทรง การใช้ไพ่ แม้แต่การพึ่งภูเขา พึ่งต้นไม้ ฯลฯ หลวงพี่คิดอย่างไรคะ
หลวงพี่ขออนุญาตใช้คำศัพท์ตะวันตกนะครับ พวกเรามีทรัพยากรภายใน (internal resource) และทรัพยากรภายนอก (external resource) ซึ่งนี่ก็เป็นมิติด้านจิตวิญญาณด้วย
พร้อมกันนั้นพวกเราแต่ละคนก็มีต้นทุนทางจิตวิญญาณภายนอก เช่น เรากราบพระ เราเข้าโบสถ์ หรือบางคนอาจจะเข้าไปกอดขอพรคุณพ่อคุณแม่ ผู้ใหญ่ที่เราเคารพ หรือครูอาจารย์ ซึ่งคนเหล่านี้มักจะบอกกับเราว่า “เขาเชื่อในตัวเรา” “ครูเชื่อในตัวเธอ” “พ่อเชื่อว่าลูกจะทำได้” “พ่อกับแม่จะคอยเป็นกำลังใจ” — เราจะเห็นได้เลยว่าแม้จะดูเหมือนว่าเป็นการเชื่อมโยงกับพลังทางจิตวิญญาณภายนอก พลังเหล่านี้ก็กลับมาเติมพลังจิตวิญญาณภายในของเรา
หลวงพี่เป็นพระสงฆ์ หลวงพี่เข้าพึ่งพระรัตนตรัย ในช่วงแรกก็เข้าพึ่งพระรัตนตรัยภายนอก คือพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ พระธรรมคำสอนที่อยู่ในตำรา หรือบทสวดมนต์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ รวมไปถึงคนต้นแบบของเรา — อยากจะมีจิตใจอย่างท่าน อยากมีวัตรปฏิบัติอย่างท่าน อยากจะตัดสินใจได้อย่างท่าน ฯลฯ เบื้องต้นเรามีต้นแบบ แต่เมื่อฝึกฝนไปสักระยะหนึ่งเราจะพบได้ด้วยตัวเองว่า ต้นแบบนั้นก็อยู่ภายในตัวเรา
หลวงพ่อกล้วย (หลวงพ่อของหลวงพี่) บอกกับหลวงพี่ว่า ที่สุดแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราคือครูของตัวเรา เราเป็นผู้ตรวจสอบตัวเอง ให้คำแนะนำตัวเอง เรียนถูกเรียนผิดด้วยตนเอง— ครูภายนอกเป็นครูชั่วคราว ส่วนครูภายใน หรือระบบการเรียนรู้ของเรานั่นแหละคือที่พึ่งแท้ของเรา
หลวงพี่ไม่ได้ขัดแย้งในการพึ่งสิ่งที่อยู่ภายนอกใช่ไหมคะ
เหมือนเด็กเล็กๆ ที่ยังติดหมอน ติดผ้าห่มแล้วจึงจะเข้านอนคนเดียวได้ เพราะหมอนนั้น ผ้าห่มนั้น ทำให้รู้สึกปลอดภัย พอใช้ไปนานๆ ก็เรียกกันเล่นๆ ว่า หมอนเน่า ผ้าเน่า แต่จริงๆ แล้วมันเป็นของที่ให้ความรู้สึกสบายใจ หลวงพี่ไม่อยากให้พวกเราตัดสินกัน — แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราโตแล้ว หมอนเน่า ผ้าเน่า ย่อมไม่ใช่สรณะ หมอนและผ้าชิ้นนั้นรอวันให้เราสละ เพื่อที่เราจะเป็นอิสระ
.

หลวงพี่อยากให้พวกเราบ่มเพาะความมั่นคงที่ภายใน รู้สึกปลอดภัยเพียงพอที่จะใช้ชีวิต ไม่ได้ปฏิเสธการมีที่พึ่งภายนอก แต่ขอให้พลังจากภายนอกกลับมาสร้างความแข็งแรง ความมั่นคงที่ภายใน เพราะไม่อย่างนั้น วันข้างหน้าห้องของเราจะมีแต่ผ้าเน่านะครับ
หลวงพี่อยากจะบอกอีกนิดหนึ่งด้วยว่า การที่เราเป็นผู้ปฏิบัติดีไม่ได้แปลว่าเราจะสมหวัง ได้ดั่งใจ โลกไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่การเป็นผู้ปฏิบัติจะเห็นเหตุ เห็นปัจจัย ทำให้เราจะยอมรับความไม่สมหวังนั้นได้ จะไม่เป็นคนใจสลาย เราเริ่มใหม่ได้ ถ้าเราปรารถนาสิ่งนั้นเราก็เรียนรู้ พัฒนา เพียรพยายาม ขวนขวายสร้างเหตุ ยืนหยัดที่จะพัฒนาจากภายใน
ผู้ที่ทำงานจากภายใน ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่อ่อนแอเลย ไม่ใช่นะครับ แต่เมื่อทำงานภายใน เมื่อเราเชื่อมต่อกับที่พึ่งจากภายใน แล้วที่พึ่งนั้นจะกลับมาให้กำลังใจเรา ที่สุดแล้วที่พึ่งที่เห็นว่าอยู่ภายนอกก็อยู่ภายในของเราด้วย
ความสุขประเทศไทยขอกราบขอบคุณหลวงพี่โก๋ที่ให้ข้อคิดเตือนใจ การมีที่พึ่งภายในจะทำให้เรายอมรับความไม่สมหวังได้ เริ่มใหม่ได้ ไม่เป็นคนใจสลาย … อ่อนแอได้ และฟื้นฟูพลังขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน