เป็นคนรักที่น่ารัก เมื่อรู้จักภาวนา
เมื่อพูดถึงคำว่า ภาวนา ภาพในการรับรู้ของผู้คนคือ นั่งหลับตา หรือ เดินช้าๆ หรือทำอะไรสักอย่างซ้ำๆ ค่อนไปทางช้าๆ ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกรวมๆ ว่า น่าเบื่อ ตัดภาพมาที่วงการโฆษณา พวกเราจะนึกถึงท่าทีกระฉับกระเฉง — แนว แจ่ม ว้าว
บทสัมภาษณ์นี้เป็นเรื่องราวของ คุณบุญชัย สุขสุริยะโยธิน (ยอด) แพลนเนอร์แห่ง ชูใจ กะ กัลยาณมิตร ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการโฆษณาและภาวนาจนเป็นนิสัย
.
เป็นมาอย่างไรจึงหัดภาวนา
มีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม และผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร อธิบายไม่ได้ ไม่เข้าใจ
เหตุการณ์แรกคือ ผมวิ่งอยู่บนชานชาลาเพื่อจะไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS ทันใดนั้น ผมเห็นว่าร่างกายกำลังวิ่งแต่ผมไม่ได้วิ่ง ร่างกายผมเหนื่อยเพราะวิ่ง แต่ผมไม่เหนื่อย
เหตุการณ์ที่สองเกิดในการอบรม TEP – Transformative Experience Provider ซึ่งจัดโดยธนาคารจิตอาสา มี session ที่เรียกว่า Active Meditation พอเสร็จทุกคนก็นอนลงไปกับพื้น ณ ขณะนั้นผมเห็นตัวของผมสลายไปรวมกับทุกสิ่ง ไม่มีตัวของผม ซึ่งมันแปลกมาก ผมไม่รู้ว่านี่คืออะไร ผมเล่าเรื่องให้อ.เอเชีย (ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ) ฟัง อาจารย์จึงแนะนำให้ผมรู้จักคอร์สวิปัสสนาตามแนวหลวงพ่อเทียน ผมเข้าร่วมคอร์สนั้น และได้เข้าร่วมอีกหลายๆ ครั้ง ปัจจุบันคอร์สนี้ชื่อ “กลุ่มเพื่อนรู้สึกตัว” การเข้าร่วมปฏิบัติและฝึกฝนในครั้งนั้นส่งผลให้ผมรู้จักการภาวนา การวิปัสสนา ผมปฏิบัติทุกวันเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน
.
การภาวนาหรือวิปัสสนานี้ให้ความสุขได้อย่างไร พอจะนิยามหรือให้ความหมายได้หรือไม่
อืม..ผมจะตอบยังไงดี ผมภาวนามาหลายปีแล้วจนเจอสิ่งที่มีค่ามากกว่าความสุขมาก
ในช่วงแรก มันเป็นการเดินทางภายในที่น่าตื่นเต้น เรื่องราวในตัวของเรา สิ่งที่เราพบเจอในตัวของเราน่าตื่นเต้น น่าค้นหา และได้เห็นการแปรเปลี่ยน (transform) ของตัวเราเป็นลำดับ เริ่มจาก “ความรู้สึกตัว” ที่สอนให้ผมเห็นความโกรธที่มาพร้อมกับความเศร้า เขาสอนให้ผมเห็นว่าผมเป็นคนเจ้าอารมณ์ซึ่งเป็นผลที่ส่งมาจากพ่อแม่ และทุกครั้งที่โกรธผมจะรู้สึกเสียใจภายหลังเสมอ เพราะผมจะระเบิดอารมณ์ออกมาจนทำให้คนรอบข้างเสียใจโดยไม่ตั้งใจ พอเห็นความโกรธยืนคู่กับความเศร้า ผมรู้ทันทีว่า “ความรู้สึกตัว” สอนผมเรื่องอะไร
.
ต่อมาเขาสอนให้ผมเห็นว่าตัวผมไม่เคยให้อภัยตัวเองเวลาทำผิด และมักจะเฆี่ยนตี ก่นด่าตัวเองเวลาที่คิดถึงความผิดที่เคยทำ มีอยู่วันนึงขณะปฏิบัติ ผมเห็นภาพความผิดที่ตัวเองเคยทำตั้งแต่ตอนเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน เป็นความผิดที่เราไม่เคยให้อภัยตัวเองจนเป็นบาดแผลในใจเรามาตลอด “ความรู้สึกตัว” ทำให้ผมเห็นภาพความผิด ทีละภาพ ทีละภาพ จนครบทั้งหมด ผมวางความผิดทั้งหมดลงทันที ผมให้อภัยตัวเองเป็นแล้ว รักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นแล้ว ความรู้สึกผิดทั้งหมดหายไปจากชีวิตผม
.
จนถึงวันนี้วิปัสสนาทำให้ผมรู้จักว่า “อิสระที่แท้จริง” เป็นอย่างไร สิ่งที่เคยมีอำนาจเหนือเรา สิ่งที่เคยควบคุมตัวเรา บงการชีวิตเรา ตอนนี้ค่อยๆ หายไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่กลับมาควบคุมเราอีกแล้ว บางเรื่องที่ยังมีอำนาจเหนือเรา พลังของเขาลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อก่อน ผมเคยวิ่งหาความสุข อยากมีเงินมากๆ อยากเป็นคนเก่ง อยากได้โน่นได้นี่ เพื่อจะได้มีความสุข ผมก็ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับสิ่งเหล่านี้ ‘ความอยาก’ ควบคุม บงการชีวิตผม แต่พอเราภาวนาจนถึงจุดนึง ‘ความอยาก’ ค่อยๆ หายไปทีละเรื่องๆ ชีวิตกลับมาเป็นของผมจริงๆ ผมเป็นอิสระจากเรื่องพวกนี้ รวมทั้งวิปัสสนาก็ทำให้ผมรู้จักว่า “ปัจจุบันขณะ” คืออะไร
.
ลงรายละเอียดหน่อยสิคะ
เมื่อวิปัสสนาจนถึงจุดนึง เราจะอยู่กับปัจจุบันขณะได้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 จะทำงานได้ดีขึ้นเป็นเท่าตัว เช่น อืมม… เวลากินข้าว เมื่อก่อนผมก็กินๆ ไป กินไปดูมือถือไปด้วย กินไปคิดงานไปด้วย แต่ปัจจุบัน เมื่อกินข้าวผมกินข้าว ผมรับรสชาติของอาหารละเอียดมากขึ้น รับสัมผัสของอาหาร นิ่ม กรอบ หวาน ฯลฯ มันทำให้ผมรู้สึกว่าอาหารอร่อยขึ้นทั้งที่เป็นเมนูเดิมๆ แต่มันไม่เคยเหมือนเดิม
.
หรือตอนเช้าๆ ที่ตื่นขึ้นมา จะเห็นได้ว่าแดดเช้าของแต่ละวันไม่เคยเหมือนกันแม้แต่วันเดียว แดดหน้าฝน แดดหน้าหนาว แดดตอนฝนตก แดดตอนมีหมอก แดดตอน 6 โมงเช้า 7 โมง 8 โมง 9 โมง แดดเช้าไม่เคยเหมือนกันเลยสักวัน มันสวยมากเลยนะ — มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน เทียบกับเมื่อก่อน ซึ่ง…แม้แต่นั่งอยู่ที่ชายทะเลผมก็ยังคิด ผมอยู่กับความคิด
.
คิดอะไร
หลายอย่างแล้วแต่ใจจะพาไป คิดเรื่องงาน คิดถึงคนนั้นคนนี้ บางทีก็คิดว่าทรายละเอียดดีจังเนอะ ฟ้าสวยจังเลย ทำไมฟ้าสวยอย่างนี้ ฯลฯ
ฟ้าสวย ทรายละเอียด ก็เป็นความคิด? ยังไม่ใช่การอยู่ในปัจจุบัน?
เมื่ออยู่ในปัจจุบันขณะ ขณะนั้นไม่มีการตัดสิน ไม่มีความคิดว่า สวย-ไม่สวย ชอบจังเลย-ไม่ชอบจังเลย — แค่อยู่ตรงนั้น ณ ขณะนั้น อยู่ด้วยความปกติ รับรู้ “ความจริง” ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นโดยไม่มีความคิดเข้ามาแต่งเติมมัน
.
เมื่อพูดถึง ‘อารมณ์’ บางคนกลัวว่า การภาวนาจะทำให้ไม่มีอารมณ์ ตัดขาดจากความสุนทรีย์ เป็นคนเฉยชา โดยเฉพาะกับความรัก — งานครีเอทีฟน่าจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ คุณยอดคิดอย่างไรในประเด็นนี้ หรือมีประสบการณ์อย่างไร
.
ผมยังมีความรู้สึกนะครับ แต่ผมเป็นอิสระจากความรู้สึกมากขึ้น หมายความว่าผมไม่ถูกความรู้สึกครอบงำอย่างในอดีต อย่างเช่น เมื่อก่อนเวลาที่โดนขับรถปาดหน้าผมจะโกรธมาก ผ่านไป 15 นาทีแล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังโกรธ บางทีผ่านไปครึ่งวันก็ยังโกรธอยู่เลย แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปมาก — ช่วงแรกผมโกรธแต่หายเร็วขึ้น ต่อมาเราเห็นความโกรธและวางมันลง ตอนนี้กลายเป็นไม่โกรธ คือความโกรธมันไม่เกิด ทุกข์มันไม่เกิด ความโกรธมันดับลง
.
สำหรับการทำงาน — การภาวนาทำให้ผมทำงานได้ดีขึ้นมาก ความคิดเฉียบคม ฉับไวขึ้นอย่างมาก จากเดิมคิดเป็นวัน บางที 3 วัน เดี๋ยวนี้ 30 นาที ผมสามารถดึงพลังของสมาธิมาใช้ได้เวลาต้องการ พอจบงานเราก็ออกจากสมาธิ
นอกจากนี้ผมจะทำโฆษณาที่ช่วยคลี่คลายหรือเยียวยาปมบาดแผลที่อยู่ในใจคน ด้วยความที่เราเห็นโลกภายในของตัวเราเอง ทำให้เรารู้ว่าทุกข์ที่อยู่ภายในใจผู้คนเกิดจากอะไร และจะช่วยชี้ ให้เขาคลี่คลายปมนั้นอย่างไร นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังทำโฆษณาต่อ
สำหรับความรัก การภาวนาทำให้ผมเป็นคนรักที่ดีขึ้น รักเป็น ทั้งรักตัวเอง และรักคนรัก ผมดูแลคนรักดีขึ้น — โดยทั่วไปเวลามีคนรักเราจะรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของ อยากให้เขาทำอย่างนั้น ไม่อยากให้ทำอย่างนี้ อยากให้เขาดูแลเรา ไม่อยากให้เขาทำอย่างนี้กับเรา เยอะแยะไปหมด มันทำให้คนรักไม่อิสระและตัวเราก็ไม่อิสระ เขาไม่ได้เป็นตัวเขาที่แท้จริง แต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่เรา ‘บังคับให้เขาเป็น’ ทุกข์ทั้งคู่
.
เมื่อผมรู้จักวิปัสสนาหรือการภาวนา ผมวางการเป็นเจ้าของลงได้มากขึ้น ผมให้อิสระแก่เขา และน่าสนใจตรงที่ ทันทีที่ผมให้อิสระกับเขา ตัวผมเองก็เป็นอิสระเช่นกัน เขาเติบโตได้ในแบบที่เขาเป็น ไม่ต้องเป็นแบบที่ผมต้องการ เขาสามารถเลือกที่จะดูแลผมหรือไม่ดูแลผมก็ได้ กลายเป็นว่าเราทั้งคู่มีความสุขกับความรักมากขึ้น ผมดูแลความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ความรักกับการมีอิสระเป็นคนละขั้ว แต่จากประสบการณ์ของผม ความรักกับความอิสระอยู่ด้วยกันได้ อิสระคือความรักในตัวมันเอง การที่เราให้ใครสักคนเป็นอิสระที่จะเป็นตัวเขา 100% นั่นคือการให้ความรักอย่างหนึ่ง
.
ทิ้งท้าย
ผมอยากจะฝากถึงคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาว ที่อาจจะกลัวหรือเกร็งกับการภาวนา ผมจะบอกว่าการภาวนาเป็นสิ่งที่ เป็นคุณค่าของชีวิต และมีประโยชน์มาก มันทำให้เราไม่ต้องรอเงื่อนไขที่จะมีความสุข ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้นเราจึงจะสุข ถ้ารู้จักภาวนา วิปัสสนา เราอยู่เหนือสิ่งต่างๆเหล่านั้น
.
ลองจัดเวลา ลองหาสักคอร์สที่เหมาะกับเรา ครูและเพื่อนจะเกื้อกูลเรา บางทีเราอาจจะลองแค่ครั้ง หรือ 2 ครั้งแล้วมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการภาวนา อย่าเพิ่งท้อหรือเบื่อนะครับ ลองใหม่ การภาวนามีเป็นร้อยวิธี แล้วคุณจะเจอสิ่งที่เหมาะกับตัวคุณ จะว่าไปมันเหมือนการออกกำลังกาย ถ้าลองชกมวยแล้ว ยกเวทแล้ว แต่มันไม่ใช่ ก็ยังมีว่ายน้ำ เต้น วิ่ง ขี่จักรยาน และอีกเพียบ แล้วจะเจอครับ สิ่งที่มีค่ากำลังรอที่จะเจอคุณอยู่ ตัวตนที่แท้จริงของคุณ ตัวตนที่ไม่ได้ถูกค่านิยมที่สังคมยัดใส่ กำลังรอที่เจอคุณ
ขอให้สนุกกับการเดินทางโลกภายในนะครับ
………………………………………………………………………..
*รู้จักกลุ่มเพื่อนรู้สึกตัวได้ที่ www.khunjaidee.com