แสงสันติภาพในสงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เหตุการณ์เล็กๆในคืนคริสต์มาสอีฟ พ.ศ. 2487 ก็สามารถสร้างความหวัง ขณะที่แสงสันติภาพปรากฏวาบขึ้น เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งสามารถยุติความขัดแย้งระดับโลกในพื้นที่เล็กๆในบ้านของเธอ

.

ทหารเยอรมันในยุทธการตอกลิ่ม[1]

.

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ฮิตเลอร์เปิดฉากยุทธการตอกลิ่ม (Battle of the Bulge) ในป่าอาร์แดน ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติผืนใหญ่ที่กั้นระหว่างฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และลักเซมเบอร์ก โดยเป็นการทุ่มกำลังเฮือกสุดท้ายของเยอรมันในการตอบโต้สัมพันธมิตร เพื่อให้กองทัพนาซีพลิกกลับมาชนะสงคราม

ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ของการรบครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสูญเสียทหารมากกว่า 200,000 คน ทหารอเมริกันเสียชีวิตเกือบ 16,000 คน และอีก 60,000 คนบาดเจ็บหรือถูกจับเป็นเชลย การสู้รบเกิดขึ้นในความเหน็บหนาวที่ทารุณ ท่ามกลางหมอก ฝน และหิมะ ทหารอเมริกันหลายคนตายในชุดฤดูร้อนโดยไม่มีเครื่องกันหนาวเพียงพอ

.

กองทหารอเมริกันเดินทัพในป่าอาร์แดนกลางความเหน็บหนาว[2]

.

ณ กระท่อมในป่าใกล้พรมแดนเยอรมันกับเบลเยียม ครอบครัวเยอรมันเล็กๆที่อพยพหนีระเบิดของสัมพันธมิตรมาจากในเมือง กำลังรอพ่อกลับมาฉลองคริสมาสต์ด้วยกัน นายวิงค์เกน (Hubert Vincken) ถูกส่งไปเป็นคนทำขนมปังในกองทัพเยอรมัน ภรรยา (Elisabeth Vincken) และลูกชายวัย 12 ขวบชื่อฟริตซ์ (Fritz Vincken) รออยู่ที่บ้าน แต่ด้วยสภาพอากาศเลวร้าย เขาจึงไม่ได้กลับมาในคืนนั้น

.


เสียงเคาะประตูดังขึ้น คุณนายวิงค์เกนรีบดับเทียนและไปเปิดประตู เธอพบทหารอเมริกันสามคน คนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส แม้จะพูดคนละภาษา แต่เธอก็เข้าใจดีว่าทั้งสามต้องการอาหารและที่พัก พวกเขามีอาวุธครบมือ จะใช้กำลังบุกเข้าบ้านก็ได้ แต่กลับรอให้คุณนายวิงค์เกนอนุญาตก่อนจะพยุงเพื่อนที่บาดเจ็บเข้าไป
คุณนายวิงค์เกนลองใช้ภาษาฝรั่งเศส โชคดีที่ทหารคนหนึ่งเข้าใจ ทำให้รู้ว่าทั้งสามหลงป่ามาสามวันแล้ว และพยายามหลบหนีทหารเยอรมันเพื่อหาทางกลับกองพัน เมื่อได้คุยกัน ความกลัวในใจของคุณนายวิงค์เกนก็เปลี่ยนเป็นความเมตตากรุณา ที่อยากช่วยเหลือเด็กหนุ่มตัวใหญ่ที่กำลังบาดเจ็บ หิวโหย และหลงทางกลางความหนาวเหน็บ เธอให้ลูกชายไปหยิบมันฝรั่ง และจับไก่ที่เตรียมไว้ให้สามีในวันคริสต์มาส มาทำอาหารเลี้ยงต้อนรับแขกที่จู่โจมมาแบบไม่ตั้งตัว

.


เมื่อกลิ่นอาหารหอมอบอวลไปทั่วบ้าน เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง หนูน้อยฟริตซ์คิดว่าคงเป็นทหารอเมริกันหลงทางมาอีก จึงเปิดประตูให้อย่างไม่ลังเล แต่ปรากฏว่าเป็นทหารเยอรมันสี่คน หนูน้อยตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว แม้จะยังเด็ก แต่เขาก็รู้ดีว่า การให้ที่พักพิงแก่ศัตรูถือเป็นกบฏ และพวกเขาอาจถูกยิงทิ้ง
คุณนายวิงค์เกนตื่นตระหนกหน้าซีดเผือด แต่พยายามทำใจเย็นออกไปกล่าวสวัสดีวันคริสต์มาส และพบว่าทหารเยอรมันก็พลัดหลงกับกองทหาร และร้องขอที่พักเช่นกัน

.

แสงเทียนแห่งสันติภาพในคืนวันคริสต์มาสอีฟ[1]

.

คุณนายวิงค์เกนตอบตกลงด้วยความสงบนิ่ง “พวกคุณจะมีอาหารอุ่นๆให้กินจนหมดหม้อ แต่เรามีแขกสามคนที่พวกคุณคงไม่นับเป็นเพื่อน นี่คือคริสต์มาสอีฟ จะไม่มีการยิงกันที่นี่” เธอพูดหนักแน่น
“ใครอยู่ข้างใน พวกอเมริกันใช่ไหม” ทหารเยอรมันถาม
“ฟังนะ พวกเธออาจเป็นลูกชายฉันก็ได้ เหมือนกับพวกเขาที่อยู่ข้างใน เด็กผู้ชายที่ถูกยิงบาดเจ็บกำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เพื่อนของเขาอีกสองคนก็หลงทาง เหนื่อยล้า และหิวโหยเหมือนเธอ ค่ำคืนนี้ คืนวันคริสต์มาสนี้ ขอให้เราลืมเรื่องการฆ่ากันไปก่อน” คุณนายวิงค์เกนมองหน้านายทหาร
สิบโทจ้องคุณนายวิงค์เกน

.


ก่อนที่ใครจะตัดสินใจอะไร คุณนายวิงค์เกนก็ทำลายความเงียบ โดยขอให้ทหารเยอรมันวางอาวุธไว้บนกองฟืนและรีบเข้ามากินมื้อค่ำ ทหารเยอรมันที่ยังมึนงงในเหตุการณ์วางอาวุธอย่างว่าง่าย คุณนายวิงค์เกนขอให้ทหารอเมริกันวางอาวุธด้วย พวกเขาส่งปืนให้เธอ เธอดูแลทหารอย่างกล้าหาญและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พยายามจัดแจงที่นั่งให้ทุกคน
แม่ลูกไปทำอาหารเพิ่ม ทั้งบ้านเต็มไปด้วยความอึดอัดตึงเครียด ทหารเยอรมันคนหนึ่งเคยเป็นนักศึกษาแพทย์ เขาตรวจแผลของทหารอเมริกัน และบอกคุณนายวิงค์เกนว่า โชคดีมากที่อากาศหนาวทำให้แผลไม่ติดเชื้อ แต่เขาเสียเลือดมาก ต้องพักผ่อนและบำรุงร่างกาย หลังจากนั้นบรรยากาศก็ผ่อนคลาย ทหารเยอรมันแบ่งเสบียงที่เหลือเป็นขนมปังและไวน์ให้ทหารอเมริกัน

.

ฉากร่วมโต๊ะอาหารในภาพยนตร์โทรทัศน์ Silent Night (ฉายเมื่อ พ.ศ. 2545)
ที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงเหตุการณ์นี้[4]

.

ทั้งสองฝ่ายร่วมโต๊ะอาหารฉลองคริสต์มาสด้วยกันในวันที่ทุกคนคิดถึงครอบครัวสุดหัวใจ คุณนายวิงค์เกนนำสวดก่อนอาหารมื้อค่ำ “Come, Lord Jesus, Be our guest.” ดวงตาของเธอรื้นด้วยน้ำตา คนรอบโต๊ะก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน เด็กหนุ่มในชุดทหารเยอรมันและอเมริกันมีคุณนายวิงค์เกนคอยดูแลให้ความอบอุ่นแทนครอบครัวตนเอง
ก่อนเที่ยงคืน คุณนายวิงค์เกนเรียกทุกคนไปดูดาวแห่งเบธเลเฮม (Star of Bethlehem) ด้วยกัน ขณะจ้องมองดวงดาวส่องสกาวบนท้องฟ้า เกิดความสงบอันล้ำลึก สงครามความวุ่นวายทั้งมวลดูเหมือนห่างไกลออกไป และถูกลืมไปชั่วขณะ

.


เช้าวันต่อมา ทหารเยอรมันส่งแผนที่และเข็มทิศให้ทหารอเมริกัน พร้อมแนะนำเส้นทางที่ปลอดภัยให้ ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นเพื่อน และหวังว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัยและไม่หลงทาง คุณนายวิงค์เกนคืนอาวุธให้ทหารทุกคนและกล่าวอำลา เธออวยพรขอพระเจ้าคุ้มครองทุกคนให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ทั้งสองฝ่ายจับมือร่ำลา และแยกย้ายไปคนละทาง

.

พ.ศ. 2539 ฟริตซ์ วิงค์เกน (ขวา) พบกับราล์ฟ แบลงค์ (Ralph Blank) (ซ้าย)
อดีตทหารอเมริกันที่เคยฉลองวันคริสต์มาสอีฟในกระท่อมกลางป่าด้วยกันเมื่อ พ.ศ. 2487 [4]

.

แม้จะเป็นเหตุการณ์เล็กๆที่ไม่ได้ส่งผลต่อมหาสงครามที่กำลังดำเนินไป แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้หัวใจความเป็นแม่โอบอุ้มดูแลเหล่าทหารเหมือนลูกหลานตนเอง ก็ได้สร้างความสว่างไสวและอบอุ่นปลอดภัยกลางผืนป่าเวิ้งว้างเหน็บหนาว ณ ที่นั้น ความไว้วางใจและมิตรภาพระหว่างทหารฝ่ายตรงข้ามก็เกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

.

เรื่อง: สุภาพ ดีรัตนา x มัสลิน ศรีตัญญู

ศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา

อ้างอิงภาพประกอบ

อ้างอิงภาพประกอบ

  1. จาก wrightmuseum.org
  2. จาก wrightmuseum.org
  3. จาก DAVIDSONLUNA via Unsplash
  4. จาก http://www.filmstarts.de/kritiken/202184/bilder/?cmediafile=20283788
  5. จาก wrightmuseum.org

เรียบเรียงจาก

https://www.wrightmuseum.org/2020/12/17/surprise-visitors-for-christmas-eve/ https://unsolvedmysteries.fandom.com/wiki/The_Friends_of_Fritz_Vincken

ความสุขประเทศไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save