แม้ว่า “การสนทนา” คือชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ แต่หลายต่อหลายครั้งมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่าง “สุนทรียะ” ซึ่งมักนำมาสู่ความขัดแย้งแตกคอ และแตกแยก หรือแม้แต่เกิดการห่างเหินเย็นชา
รากเหง้าแห่งปัญหาก็คือ “ตัวตน” ที่ห่อหุ้มภายในใจของแต่ละคน เช่น การยึดมั่นถือมั่นในชนชั้น ฐานะ ตำแหน่ง วัยวุฒิ สังกัด หรือแม้แต่ความเชื่อส่วนบุคคล (ศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ)
การพูดคุย ถกเถียง เสวนา ประชุม นอกจากจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แล้ว มักก่อให้เกิดปัญหามากยิ่งขึ้น เหตุเพราะใช้วิธีคิดแบบเดิมๆที่มาจากฐานความคิดแบบเดิมๆ การแก้ปัญหาสารพัดจึงล้มเหลวมาโดยตลอด
– เดวิด โบห์ม
(David Joseph Bohm ค.ศ.1917 – 1992 นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ชั้นนำของโลกที่นำปรัชญาทางตะวันออก และศิลปะ มาผนวกกับวิทยาศาสตร์มาให้คำตอบกับโลกอย่างกระจ่างชัด)
แม้โลกยุคใหม่จะเชื่อมโยงสื่อสารกันด้วยเทคโนโลยี่ ที่นับวันยิ่งรุดหน้า แต่สัมพันธภาพของผู้คนกลับยิ่งเหินห่าง “โดดเดี่ยวว้าเหว่ท่ามกลางฝูงชน” คือความรู้สึกที่นับวันก็ยิ่งทบทวี จนกลายเป็นโรคระบาดทางจิตของสังคมยุคดิจิตอล
แต่เมื่อย้อนไปไกลในครั้งโบราณกาล ที่มนุษย์มักล้อมวงกันเป็นกลุ่มเล็กๆ หรืออยู่ด้วยกันไม่เกินกลุ่มละ 40 -50 คน ต่างฝ่ายต่างรู้หน้าที่ ฝ่ายชายก็เข้าป่าล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารเลี้ยงครอบครัว ส่วนหน้าที่ฝ่ายหญิงคือการหาอาหารใกล้ๆที่พัก กิจวัตรเหล่านี้พวกเขาจะสนทนากันเล่าสู่กันฟังโดยไม่มีการโต้เถียง ไม่เป็นทางการ ไม่มีการประเมิน และไม่มี่ผู้ใดบงการ
การคิดร่วมกันด้วยกระบวนการสุนทรียสนทนา (dialogue) น่าจะเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหาอันสลับซับซ้อนของโลกยุคใหม่ เพราะการคิดร่วมกัน การรับฟังซึ่งกันและกัน โดยไม่มีการถือเขาถือเรา เป็นวิธีการจัดการความแตกต่างหลากหลาย โดยทำให้ทุกฝ่ายต่างเป็นผู้ชนะร่วมกัน (win-win)
– เดวิด โบห์ม
How…?
สุนทรียสนทนาเน้นที่ความผ่อนคลาย สบาย สงบ ไม่เสียงดัง ไม่โต้แย้ง ไม่แบ่งฝ่าย และไม่มีการเอาชนะคะคานกัน แต่เสียงทุกเสียงล้วนเป็นกัลยาณมิตร ขณะเดียวกันก็ให้ปลดโซ่ตรวนจากอุปาทานทั้งปวงในจิตใจของตนเอง อันได้แก่ลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น มีอิสระที่จะเปิดใจรับฟังผู้อื่นอย่างรู้เท่าทันอคติของตน
1. กระบวนการสุนทรียสนทนานั้นไม่มีวาระ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีทิศทาง อันอาจทำให้บางคนถึงกับยอมรับไม่ได้ถอยออกจากกลุ่มไป แต่หากใครผ่านประสบการณ์แปลกๆนี้ได้ ก็จะพบความจรริงว่า สนทนาแนวทางนี้น่าชื่นชมเพียงใด
2. สุนทรียสนทนาคือการแสวงหาคลื่นพลังแห่งความรู้และความคิดร่วมกัน สิ่งใดที่คนใดคนหนึ่งค้นพบ ก็จะได้รับการโยงใยถ่ายทอดความรู้สู่คนอื่นๆด้วย (Coherent of thought)
3. ในวงสุนทรียสนทนานั้น ทุกคนจะต้องเป็นนักสังเกตการณ์อารมณ์ของตนเองด้วย เพื่อเรียนรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจตน (tacit knowledge) อย่างเข้าอกเข้าใจ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฟังอย่างสงบสุขุม (deep listening) และไม่เคลิ้มคล้อยไปกับอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ปัญญาอันเกิดจากการฟัง
Where…?
เสมสิกขาลัย
29/15 ซอยรามคำแหง 21 ถนนรามคำแหง แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ10310
email : semsikkha_ram@yahoo.com
โทรศัพท์ : 02-314-7385-6
fax : 02-319-1856







