2018 July
บทความรายเดือน:
- March 2021 (1)
- February 2021 (1)
- January 2021 (2)
- November 2020 (1)
- October 2020 (3)
- August 2020 (1)
- July 2020 (12)
- June 2020 (1)
- May 2020 (12)
- April 2020 (65)
- March 2020 (40)
- December 2019 (1)
- November 2019 (1)
- October 2019 (2)
- September 2019 (3)
- August 2019 (3)
- July 2019 (6)
- June 2019 (4)
- May 2019 (1)
- April 2019 (3)
- March 2019 (2)
- February 2019 (1)
- January 2019 (4)
- December 2018 (5)
- November 2018 (3)
- October 2018 (3)
- September 2018 (1)
- August 2018 (2)
- July 2018 (2)
- June 2018 (2)
- May 2018 (3)
- April 2018 (5)
- March 2018 (3)
- February 2018 (4)
- January 2018 (4)
- December 2017 (4)
- November 2017 (2)
- October 2017 (2)
- September 2017 (59)
- August 2017 (41)
- July 2017 (4)
- June 2017 (4)
- May 2017 (5)
- April 2017 (4)
- March 2017 (4)
- February 2017 (5)
- January 2017 (5)
- December 2016 (3)
- November 2016 (5)
- October 2016 (1)
- September 2016 (2)
- August 2016 (1)
- July 2016 (3)
- June 2016 (5)
- May 2016 (6)
- April 2016 (4)
- March 2016 (5)
- February 2016 (3)
- January 2016 (4)
- December 2015 (6)
- November 2015 (9)
- October 2015 (13)
- September 2015 (13)
- August 2015 (11)
- July 2015 (8)
- June 2015 (9)
- May 2015 (9)
- April 2015 (6)
- March 2015 (7)
- February 2015 (4)
- January 2015 (12)
- December 2014 (26)
- November 2014 (14)
- October 2014 (15)
- September 2014 (15)
- August 2014 (15)
- July 2014 (12)
- June 2014 (5)
- May 2014 (10)

โยคะสติบนวีลแชร์
“ตั้งแต่อายุ 5 จะย่างเข้า 6 ขวบ ขาเราก็เริ่มอ่อนแรงและค่อยๆลีบเล็ก ไม่สามารถเดินได้อย่างปกติเหมือนเด็กคนอื่น” อำไพ สราญรื่น ช่างเย็บผ้าในศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการเผยรอยยิ้มภายใต้ผมสีดอกเลาด้วยวัยใกล้เกษียณบอกเล่าถึงความทรงจำอันเลือนลางกว่า 50 ปีที่แล้ว หลายๆ ข้อจำกัดของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา บางครั้งเกิดจากความเหนื่อยล้า หมดกำลังใจ หมดแรงใจที่จะขับดันร่างกายให้เคลื่อนต่อ หากแต่บางคน โอกาสเหล่านั้นหมดไปตั้งแต่ข้อจำกัดทางร่างกาย แต่มุมมองความคิดของอำไพ กลับไร้ซึ่งขีดจำกัดเหล่านั้น รถวีลแชร์ไฟฟ้าของอำไพ นำลิ่วว่องไวกว่าสองขา “ร่างกายเราไม่ใช่ปมด้อย ใจเราสำคัญที่สุด” อ่านต่อ...

อุ๊ มดงานตัวจิ๋วแต่แจ๋ว
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ย้อนกลับไปเมื่อ 32 ปีก่อน เด็กหญิงกรองแก้ว ชัยอาคม หรือ อุ๊ ลืมตาดูโลกด้วยขนาดตัวใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงนิดเดียว ด้วยขนาดตัวเล็กจิ๋ว หูได้ยินเสียงแผ่วเบา และเสียงเล็กแหลมเหมือนเด็กน้อย เธอจึงรู้สึกอายไม่กล้าคุยกับใครจนคนส่วนใหญ่คิดว่าเธอเป็นคนใบ้ เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเรียน เด็กหญิงตัวจิ๋วมักกลับถึงบ้านพร้อมคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนบนสองแก้ม เพราะถูกเพื่อนล้อเลียน แกล้งตีและผลักเป็นประจำจนกลายเป็นตัวตลกประจำห้อง แต่หากย่างเท้ากลับเข้าบ้านเมื่อไหร่ อ้อมกอดของพ่อแม่จะคอยทำหน้าที่เป็นผืนทรายแห่งความรักคอยซับน้ำตาให้เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ ด้วยความยากจนเด็กหญิงตัวจิ๋วจึงเริ่มช่วยหารายได้จุนเจือครอบครัวตั้งแต่ยังอยู่ในชุดนักเรียน และต้องออกจากโรงเรียนหลังเรียนจบระดับชั้นประถมเพื่อทำงานให้มากขึ้น เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้เธอจะมอบให้พ่อแม่ผู้มีพระคุณด้วยความเต็มใจและพร้อมทำงานหนักเอาเบาสู้แม้ว่าสภาพร่างกายจะเล็กแกร็นกว่าคนวัยเดียวกันก็ตาม อ่านต่อ...