ที่ริมทะเล…มีสิ่งเกื้อกูลหลายอย่างที่เชื้อเชิญให้เรา “อยู่กับปัจจุบัน” ได้ดี ความชุ่มชื้นของอากาศที่หนาตัวและกลิ่นทะเลและสาหร่ายเค็ม ๆ หรือเป็นเสียงของคลื่นที่โยนตัวเข้าหาฝั่งไม่หยุดหย่อน กับเสียงของกลุ่มนกนางนวลโบยบินแทรกมาระยะ ๆ หรือเม็ดทรายเปียกชื้นที่แทรกตัวเบียดกันระหว่างนิ้วเท้าของเรา ที่ริมทะเล…หากเราเอาใจของเรามาใส่ใจอยู่ที่ความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้อย่างเต็มที่ เราจะสามารถใช้ชายทะเลเป็นที่ฝึกสมาธิได้เป็นอย่างดี
มีใครบางคนเคยตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุของความยุ่งเหยิงและขัดแยังบนโลกใบนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดขึ้นเพราะพวกเราเป็นมนุษย์ที่ ‘ขาดความรัก’ ซึ่งก็น่าแปลกใจเหลือเกินว่า พวกเราพากันทำความรักหล่นหายไปที่ตรงไหน ? หรือแท้จริงแล้วความรักไม่ได้หาย…แต่เป็นตัวเราที่สัมผัสถึงมันไม่ได้เอง ? Jim George นักประพันธ์ชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า “Listening is an act of love.” แปลเป็นไทย ๆ
กันยาแต่งงานกับเดชมาร่วมสิบปีแล้ว แต่ ๒-๓ ปีหลังเธอมีปากเสียงกับเขาอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพราะว่าเขานอกใจเธอ เขายังคงใส่ใจเธอและรับผิดชอบกับครอบครัวไม่แปรเปลี่ยน แต่สิ่งที่เธอทนเขาไม่ค่อยได้ก็คือ เขาชอบโทรศัพท์มาถามเธอแทบทุกเย็นว่าจะกลับบ้านกี่โมง ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ฯลฯ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโทรมาถามบ่อย ๆ ราวกับว่าเธอมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ ระยะหลังเพียงแค่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของเขาขึ้นที่หน้าจอ เธอก็หัวเสียทันที บ่อยครั้งที่เธอตวาดใส่เขาทางโทรศัพท์ แต่เขาก็ไม่โกรธเธอ ยังคงพูดกับเธอด้วยดี สิ่งหนึ่งที่เขาขอร้องจากเธอก็คือ ขอให้มากินข้าวบ้านทุกเย็น
….เพราะการรับฟังไม่ใช่แค่การได้ยินผ่านหู แต่ต้องรับรู้ด้วย ‘ใจ’……. ทุกวันนี้เหมือนโลกจะเล็กลง เราสามารถติดต่อ พูดคุย อ่าน มองเห็น ได้ยิน คนจากทั่วทุกมุมโลกผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร โลกออนไลน์กลายเป็นโลกเสมือนจริงที่ดูคล้ายจะทำให้เราเข้าใกล้กันมากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม เรากลับพบว่าเราโดดเดี่ยว แตกแยก ห่างเหินจากกันและกันมากขึ้นทุกทีในโลกชีวิตจริง ถ้าไม่นับข้อความผ่านแชทในช่องทางต่าง ๆ จำได้ไหมว่า…เราได้พูดคุย สบตา สนทนากับคนที่เรารักครั้งสุดท้ายเมื่อไร